วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เมื่อคนอยากรวยเลือกหุ้น IT : SiS

ธุรกิจ IT เป็นหนึ่งในธุรกิจที่หลายๆคนมองว่าเป็น "Megatrend"(แม่ะ  คำว่า megatrend นี่เป็นคำหลอกขึ้นดอยที่เหมาะสมจริงๆ)
ธุรกิจไหนก็ตามถ้าอยู่ใน megatrend ขอแค่โตตามเทรนด์ไปได้ก็เยี่ยมแล้ว  ถ้ายิ่งเป็นผู้เล่นชั้นแนวหน้าที่โตได้มากกว่า trend ล่ะก็  มันคือ growth stock หรือ super stock ดีๆนั่นเอง


ธุรกิจ IT ถ้าใครเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับ VI ธุรกิจพวกนี้จะถูกด่าและไม่เป็นที่ถูกชะตาชาว VI สักเท่าไหร่  โดยเฉพาะช่วงที่หุ้นดอทคอมบูมและล่มสลายในเวลาอันรวดเร็ว  ทั้งนี้เพราะธุรกิจ IT เปลี่ยนแปลงเร็วมากๆๆๆๆๆๆๆ  คนอยากรวยยังจำได้ว่าตอนม.ปลายใครมีมือถือสักเครื่องนึงก็หรูแล้ว(กว่าคนอยากรวยจะมีมือถือไว้เจ๊าะแจ๊ะกับสาวๆก็ปาไปมหาลัยเลยนะ)  แต่สมัยนี้เชื่อว่าเด็กมัธยมมีเกือบทุกคน(ไม่นับเด็กที่ยากจนจริงๆนะครับ)  ทำให้บางบริษัทล้มหายตายจากไป  บางทีล้มแล้วลุกใหม่อย่าง apple บางทีกำลังล้มอย่าง nokia ทำให้มันจะดูเหมือนเป็น cyclical กลายๆ  เข้าไม่ถูกจังหวะเจ็บตัวเอาง่ายๆ



แล้วทำไมถึงสนใจ SIS  ตัวนี้มีอะไรน่าสนหรอ  คนอยากรวยวัดดวงแบบอสังหาตัวนั้นอีกรึป่าว
อยากรู้ต้องตามมาดูกันครับ


SIS เป็นบริษัทที่เป็น distributor หรือพูดภาษาบ้านๆคือรับของเค้ามาขายต่อนั่นเอง  แต่เป็นเฉพาะสินค้า IT เช่น smartphone, tablet, notebook, keyboard, mouse, monitor ตลอดจน accessory อื่นๆของคอม  รวมทั้งกล้องและ storage ด้วย
แน่นอนว่าพวกรับของเค้ามาขายกำไรไม่เยอะมากหรอกครับ  เรียกว่า gross profit บางแค่ 5-6% เท่านั้นเอง(บางทีก็น้อยกว่าด้วยซ้ำ)  และพอตัด SG&A ออก  จะเหลือ net profit แค่ 1.X%หรือน้อยกว่าด้วยซ้ำไป เรียกว่า margin บางมากเฉียบก็ว่าได้


อะไรวะ  margin ก็บางเฉียบ  ธุรกิจก็เปลี่ยนแปลงเร็ว  ของเสื่อมสภาพง่าย  มีเอี้ยอะไรน่าสนเนี่ย  ใช่ไหมล่ะครับ ^^


ประเด็นแรกเลยคือ distributor เป็นแค่คนรับของเค้ามาขายครับ  ไม่ได้ผลิตเอง  จึงแค่เลือกอุปกรณ์ที่น่าจะฮิตในแต่ละหมวด  มาขาย  ความเสี่ยงเรื่องการล้าสมัยไม่ใช่ไม่มี  เพียงแต่อยู่ที่ระบบ stock ของ(ออกตัวก่อนว่าส่วนมากสินค้า IT พวกนี้คืนไม่ได้นะครับ  การสั่งมาต้องใช้ความระมัดระวังมาก)  ถ้าสั่งมามากเกินไป  กำไรก็ลดน้อยลงเพราะขายไม่หมด  ต้องลดราคาไม่งั้นสินค้าจะล้าสมัยเร็ว(คิดเอาว่าเอา samsung SII มาขายช้าไปสัก 1 ไตรมาส  จนมีข่าวแพลมๆว่า samsung SIII หรือ note จะออกแล้ว  ยังงี้จะขาย SII ยังงัย  อยากขายได้ก็ต้องลดราคาลง  margin ที่บางอยู่แล้วมันจะบางไปใหญ่)  สั่งมาน้อยเกินไปค่า SG&A ก็ต้องโปรโมทในระดับนึงอยู่แล้ว(เหมือนมี fixed cost) ขายน้อยบางทีกำไรไม่พอค่า SG&A ก็เจ็บตัวไปเอง  ดังนั้นต้องตาแหลมคมว่าจะเอาสินค้าไหนปริมาณเท่าไหร่มาขาย

มีประวัติศาสตร์ที่อเมริกาตื่นทอง  มีคนมากมายไปขุดทองหวังรวย  ท่ามกลางฝูงชนมหาศาล  คนที่รวยได้มีเพียงหยิบมือเท่านั้น  แต่ไอ้ที่รวยแน่ๆทุกคนคือคนที่ขายพลั่วและกางเกงยีนส์ครับ

SIS ก็เปรียบเสมือนคนขายพลั่ว  ขอแค่ธุรกิจ IT ชนะได้  ไม่ต้องสนว่า apple, nokia หรือ samsung จะชนะ SIS ก็สามารถชนะไปด้วยได้ครับ

แต่ก็ต้องยอมรับนะครับว่า distributor ไม่ได้ผลิตเอง  จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะ margin น้อยมากๆ  บางทีการ stock ของผิดพลาดกำไรมันจะร่วงจาก 1.X% เป็น 0.X% ได้เลย  และจริงๆไอ้ 1.X% ก็ต่างกันมากนะครับ  แค่ 1.2% กับ 1.8% ขายได้เท่ากัน  กำไรต่างกันถึง 50% เลย  ดังนั้นระบบ stock ของจึงสำคัญมาก  เพราะกันของพลาดก็ต้องมาลดราคาระบายของอย่างที่บอก



ประเด็นที่ 2 คือธุรกิจ IT เป็นธุรกิจที่ถูกคาดหวังการโตระดับ 2 digit คือ 10%+ มาหลายปี  และก็ทำได้ทุกปี  และคาดว่าจะโตระดับนี้ได้อีกหลายปี
อันนี้ลองดูจากคนใกล้ตัวก็ได้ครับ  การบริโภคของคนเมืองมีทั้ง smartphone, tablet และ notebook บางคนมี PC อีก  เรียกว่าค่า gadget ตรงนี้เครื่องละ 10,000+ ทั้งนั้น

คนอยากรวยยอมรับว่าการบริโภค notebook จะลดลง  แต่อะไรที่มันขนาดเล็กลงๆ  มันจะขายง่ายขึ้นเรื่อยๆ  smartphone ตอนคนอยากรวยอยู่ปี1 ปี2  ราคาแพงมาก  หาคนใช้นับคนได้  พอมาปีท้ายๆเท่านั้นแหละ  ใครไม่ใช้สิแปลก  ยิ่งตอนไปทำงานนี่ทุกคนใช้ smartphone ก็ว่าได้  แต่ notebook มันไม่ค่อยเปลี่ยนกันหรอกนะ  ทั้งๆที่บางที smartphone แพงกว่าด้วยซ้ำ  บางคนเปลี่ยน smartphone ทุก 1-2 ปี  บางคนหนักกว่านั้นมี smartphone 2 เครื่อง  เรียกว่าการบริโภคพวกนี้เป็น lifestyle ในสังคมเมืองไปแล้ว  ถ้าถามว่าใช้ function ที่ให้มาได้ครับมั๊ย  คนอยากรวยว่าแค่ 50% ยังไม่ถึงเลย  ยิ่งเพื่อนผู้หญิงคนอยากรวยนะไม่ต้องพูดถึง  เอาแค่ 20% ใช้ให้มันเกินก่อนเถอะ  ใช้ให้ได้มากกว่าเปิด FB, ถ่ายรูป, เปิดเว็บ(เครื่องสำอาง) หรือเล่น flash game ก่อนแล้วกัน

แต่คนอยากรวยว่านะ  การใช้มือถือมันคือ lifestyle ไปแล้ว  มันเป็นการบอกบุคลิกหรือเล่าตัวตนผ่านมือถือ  คล้ายๆกับการแต่งกายอย่างนึง  อันนี้ใครอยากรู้ลองไปอ่านเกี่ยวกับธุรกิจเพิ่มเติมดูนะ  เพราะคนอยากรวยไม่ได้เรียนมากทางด้านนี้อาจจะพูดศัพท์วิชาการมากไม่ได้  เพราะพูดมากก็ผิดมาก   เอาเป็นว่ามันเป็นการบ่งบอกตัวตนอย่างนึงคล้ายกับการนั่งแด๊กกาแฟ starbuck(แพงชิบหาย)  หรือการไปเดิน terminal 21 แล้วต้อง check-inให่ชาวบ้านรู้นั่นแหละ  เทียบกับการไปกินกาแฟโบราณตามข้างถนน  หรือการไปเดินประตูน้ำ  จะเห็นว่ามันบ่งบอกตัวตนได้แตกต่างกัน(คนอยากรวยไม่ได้ว่าคนไหนกระแดะหรืออะไรนะ  มันอธิบายได้ด้วยหลัดเศรษฐศาสตร์จริงๆ  แต่คนอยากรวยลืมไปแล้ว 555+)

ไหนจะ tablet อีก  ซึ่ง tablet เป็นการบอก lifestyle อีกอย่างนึงเช่นกัน  และตอบได้ในขณะนี้เลยว่ายังมาแทน notebook ไม่ได้  และคนอยากรวยก็มีทั้ง tablet และ notebook แต่ก็ไม่คิดว่าจะเอา tablet มาแทน notebook เช่นกัน  เพราะ tablet เหมือนเอามาพกติดตัวไว้เล่นมากกว่า  ทำงานหรือเล่นเกมหนักๆจริงต้อง notebook หรือ PC เท่านั้น(แต่ในอนาคตไม่กล้าฟันธงนะ  เพราะถ้า 3-4 ปีก่อนมีคนคิดว่า tablet จะบูม  คนอยากรวยคงหัวเราะฟันหลอแหงๆ  มาตอนนี้อึ้งเลย)

ส่วนกระแส notebook หรือ PC อาจจะแผ่วๆหน่อยเมื่อเทียบกับ smartphone และ tablet  แต่ขอบอกเลยว่าปัจจุบันครัวเรือนที่มี PC มีแค่เพียง 25%  เรียกว่ายังมีที่ให้โตได้อีกเยอะในยุคที่สินค้า IT มีราคาถูกลง  คนชนชั้นกลางค่อนต่ำเข้าถึงได้มากขึ้น  ยิ่งเด็กยุค Gen Y และ Z ที่เกิดมาพร้อม internet และ technology รอบด้าน  คิดไม่ออกเลยว่าจะอยู่โดยไม่มี notebook สักเครื่องกันได้อย่างไร(ไม่งั้นก็ต้องมี gadget สักตัวล่ะเอ้า !!!)  อันนี้คนอยากรวยว่ามันขายได้เรื่อยๆนะ  อาจจะไม่หวือหวามาก  โตบ้างไม่โตบ้าง  แต่คงไปได้เพราะยังไม่มีอะไรมาแทน notebook ได้ ณ ตอนนี้


คนอยากรวยแอบขอเสนอแนวคิดหน่อยว่า  พวก IT เนี่ยเมื่อไหร่ที่สามารถดึง"ผู้หญิง"เข้ามาเล่นได้  การเติบโตมันจะเพิ่มขึ้นมหาศาล  อย่าง iphone, ipad, BB หรือพวก smartphone หรือ tablet เนี่ย  พอมีผู้หญิงเข้ามาร่วมวงด้วยก็โตเอาๆ  เพราะผู้หญิงมีกำลังซื้อมากกว่าผู้ชาย(เคยอ่านจาก brandageสักเล่ม)  ซึ่งคนอยากรวยว่าจริงมากๆเลยฟร่ะ  เพราะ PC และ notebook ยังไม่สามารถดึงผู้หญิงมาเล่นได้เท่าไหร่(นอกจากสีสันกับยี่ห้อ)  จะบอกว่า"รุ่นนี้ Quad Core เร็วสุดๆ  หน้าจอระดับ HD การ์ดจอระดับเทพ" เชื่อเหลือเกินว่าผู้หญิงคงไม่มาสนใจด้วย  แต่กับ smartphone หรือ tablet ที่มี app ถ่ายรูปโน่นนี่  มี social network ไว้ chat กับเพื่อนฝูง  แทบไม่ต้องดู spec อย่างอื่นเลยครับ  ผู้หญิงซื้อตามกันทั้งนั้น  เอาคำเดิมมาโม้อีกที  "มันเป็น lifestyle"ไปแล้วครับ  แต่ถ้าวงการ notebook หรือ PC ดึงผู้หญิงลงมาด้วยได้  คงจะได้เห็นการโตระดับเทพกันอีกทีน่ะครับ
ลองดูอย่างวงการเกมส์ครับ  เครื่อง Wii ยอดรายระเบิดระเบ่อเพราะดึงกลุ่มผู้หญิงมาเล่นเกมติงต๊องๆได้  sony กับ microsoft ที่เข้าถึงผู้เล่นเกมจริงๆได้นั่งมองกันตาปริบๆเลย


ทั้งหลายที่แหล่ที่โม้มาเพื่อที่จะสนับสนุนความคิดของคนอยากรวยว่าวงการ IT พวก gadget หรือ accessory ต่างๆน่าจะโตได้อีกหลายปี  ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยของ smartphone ยุคของ tablet หรือยุคของ ultrabook ที่คาดว่าจะมาในอนาคต(ใครสนใจลองดูข้อมูล ultrabook ดูนะครับ  คร่าวๆคือ notebook ที่บางมากๆแบบ macbook air นั่นแหละ)  IT มันก็น่าจะโตไปได้อีกหลายยุคหลายสมัย


หลายคนอาจจะสงสัยว่าของ IT มันขายได้เยอะขึ้น  แต่ราคาก็ลดลงด้วย  แล้วมันจะโตหรอ  ที่ผ่านมา 15 ปีก็โตมาตลอดในแง่ของรายได้ครับ  ปี 54 ขายได้ 95,000ล้าน(ทั้งอุตสาหกรรม)  โตมาจาก 80,000 ล้านและ 70,000 ล้านจากปีที่แล้ว  และปีนี้ก็คาดว่าน่าจะแตะ 100,000 ล้านได้  เรียกว่าได้ปีละ 2 digit ตามที่อุตสาหกรรมโม้ไว้แหละครับ
เลยขอตอบคำถามข้อนี้ว่า  พอมันราคาถูกลง  คนก็ซื้อและเข้าถึงมันได้มากขึ้น  ทำให้ใช้กันฟุ่มเฟือยมากขึ้น  สมัยก่อนมือถือเครื่องนึงใช้กันเป็นหลายปี  สมัยนี้ไม่กี่เดือนบางทีก็ขายไปซื้อเครื่องใหม่มากันแล้ว  เมื่อเทียบราคากับปริมาณ  ปริมาณยังวิ่งนำหน้าอยู่อีกมาก  และยิ่งของราคาถูกลง  เราก็จะซื้อมากๆอีก  สมัยนี้มี smartphone, tablet, notebook และ PCตั้ง 4 อย่าง  ขอถามเลยว่าเมื่อ 5 ปีก่อนมีกันกี่อย่างครับ  แล้วตอนนี้มีกี่อย่าง  และต่อๆไปอีกสัก 5 ปีจะมีกี่อย่างก็ยังตอบไม่ได้เลยครับ


โม้มาเยอะจริงๆแฮะวงการ IT เนี่ย  เพราะคนอยากรวยอยู่คาบเกี่ยวระหว่าง Gen X กับ Gen Y ทำให้รู้เรื่องพวกนี้บ้าง  และเชื่อว่าหลายๆคนก็เชื่อว่ามันไปต่อได้เหมือนคนอยากรวยใช่ม้า 555+



กลับมาดูที่ SIS กันบ้าง  SIS นับเป็น distributor ที่มี marketshare อันดับ 1 และชิง marketshare มาได้ทุกปี โตจาก 19% มาเป็น 24% ในปีที่แล้ว(แต่กำไรว่ากันอีกทีนะ)
มีอันดับ 1 ก็ต้องมีอันดับ 2 ตัวที่ขับเคี่ยวกันมาคือ Synex หรือที่หลายๆคนรู้จักในชื่อ Synnex ประกันเทพของอุปกรณ์ IT  ซึ่ง Synex ก็มี marketshare ระดับ 2X% เช่นเดียวกับ SIS เรียกว่าศึกษา 2 ตัวเทียบกันได้เลยครับ  คล้ายๆ BLA กับ SCBLIF นะคนอยากรวยว่า  ของที่คล้ายก็คล้ายๆกัน  แต่ deep in details จะต่างกันนิดนึงคือ
- Synex ขายพวก HDD และ accessory ต่างๆมากกว่า SIS
- Synex เน้นตลาด ตจว ส่วน SIS เก่งใน กทม และปริมณฑล
- Synex ระบบ stock ของทันสมัยมาก  เรียกว่าดีกว่า SIS อยู่บ้าง
- Synex เน้นลงทุนใน Asset แต่ SIS เน้นเช่าที่มากกว่า

คนอยากรวยว่า SIS ดู underperform กว่า Synex อยู่นิดนึง  ทั้งปัจจุบันและอนาคต  แต่อย่างไรก็ต้องไม่ลืมว่ายอดขายของ SIS มากกว่า Synex  ดังนั้นถึงจะให้ SIS underperform Synex ก็ไม่ควรให้มากเกินไป


และที่ SIS น่าสนใจกว่าเพราะ SIS stock ของพลาดตอน Q3 โดยสั่ง BB มามากเกินไปเพราะคิดว่าจะขายดี  แต่แล้วก็ stock ผิด  ครั้นจะระบายของก็เจอน้ำท่วมมา double kill อีก  ทำให้ของเก่าระบายไม่ออก  ของใหม่ก็ขายไม่ได้  แถมเก่งตลาด กทม  เจอน้ำท่วมแทบไม่ต้องทำมาหากิน  ราคาก็ต้องร่วงตามระเบียบ  แต่เจอหนักกว่า Synex ก็ร่วงหนักกว่า

Synex เรียกว่าทั้งเก่งและเฮง  เพราะ Synex stock ของไม่พลาด  แถมมี stock HDD ไว้เยอะ(พี่แกดังด้านนี้อยู่แล้ว)  นอกจากจะระบายของได้แล้วยังระบายได้ราคาดีอีก  เลยไม่ทรุดมาก  แถมยังมีตลาด ตจว ไว้รองรับด้วย  ยอมรับว่าเก่งและมีโชคครับ  นัดนี้ Synex ชนะแบบ RSC outcalss SIS เลย  และจากเหตุการณ์ดังกล่าว Synex ใน Q1 ฟื้นแทบจะสมบูรณ์แล้วครับ  แต่ SIS ยังต้องลุ้นอีกเยอะครับ 555+

จะบอกว่า SIS ราคาต้องตกมากกว่า Synex ก็ไม่ผิดครับ  แต่ตอนนี้ SIS market cap 2,200m แต่ Synex market cap 3,500m  เรียกว่าต่างกัน 60% เลย  คิดยังงัย SIS ก็ไม่น่า underperform Synex ขนาดนั้นครับ  และถ้าถามว่าปัญหาของ SIS จะใช้เวลาแก้ไขนานแค่ไหน  และปัญหาจะ sustain หรือไม่  คนอยากรวยแอบตอบแบบมั่นใจนะครับว่าน่าจะแก้ได้ในปีนี้ค่อนข้างแน่นอน  ถ้าไม่เกิดอาเพศน่าจะแก้ได้ตั้งแต่ 2H55 แหละน่า


โม้มายาวมากๆๆๆๆๆๆๆ  คนอยากรวยว่าเรามาวิเคราะห์กันดีกว่านะครับ



วิเคราะห์เชิงปริมาณ


1. ธุรกิจพวกนี้  งบดุลจะมีความสำคัญตรงลูกหนี้การค้า  และเจ้าหนี้การค้าครับ  ขอใช้ศัพท์หรูๆว่า account recievable และ account payable ครับ  ย่อๆได้ว่า A/R และ A/P ครับ  หลักการจำง่ายๆคือ recieve แปลว่าได้รับเงิน  คนที่เราจะได้รับเงินก็คือลูกหนี้การค้า  ส่วน pay ก็คือจ่ายเงิน  และคนที่เราต้องจ่ายเงินให้ก็คือเจ้าหนี้การค้าครับ
มาแนะนำให้คิดตามหลักความเป็นจริงอีกแล้วครับ  เวลาเราติดหนี้ใคร  ชอบคืนช้าหรือคืนเร็วครับ  แล้วเวลาใครติดหนี้เราอยากให้คืนช้าหรือคืนเร็วเช่นกันครับ
ตอบง่ายๆเลยว่าเวลาเราติดหนี้ใคร  เราชอบคืนช้าๆ  แต่เวลาเก็บหนี้เราชอบเก็บเร็วๆครับ(เหี้ยมั๊ยล่า)

ดังนั้นทางบัญชีเลยคิด financial ratio มาให้ใช้คือดูว่าเราให้เครดิตลูกค้ากี่วัน  และเจ้าหนี้ให้เรากี่วันครับ  โดยเอารายได้คิดเป็นเดือน(คือถ้างบไตรมาสก็หาร 3  งบปีก็หาร 12)  มาหารด้วยเจ้าหนี้การค้าหรือลูกหนี้การค้า  เทียบบัญญัติไตรยางค์ออกมาเป็นเดือน  หรือจะเป็นวันเป็นวินาทีก็แล้วแต่ชอบครับ  อิอิ

เช่น งบ Q1 มีรายได้ 5,500m  มี A/R 2,100m และ A/P 1,700m  ก็แปลว่าขายได้เดือนละ 1,830m  ดังนั้นเราให้เครดิตลูกหนี้ 1.14 เดือนหรือประมาณ 34 วัน  ส่วนเจ้าหนี้จะมาเอาตังเรา 0.93 เดือนหรือ 28 วันครับ

ซึ่งในธุรกิจพวกนี้  วันจะอยู่ที่ 30-40 วันครับ  ปกติระดับ SIS หรือ Synex ควรจะอยู่ที่ 2X วันด้วยซ้ำ  แต่อาจจะเพราะ SIS ยอมๆลูกค้าให้แปะโป้งนานขึ้นนิดนึง  วันอาจจะเลยเถิดไปบ้างแต่ไม่น่าเกลียดอะไร  ส่วนเจ้าหนี้ถ้าจ่ายเร็วอาจจะได้ส่วนลดเลยต้องกดเงินจากแบงค์มาจ่ายครับ(ยอมเสียดอกว่างั้นเหอะ)

ซึ่งเงินกู้ยืมระยะสั้นจากแบงค์เพื่อเอามาเพิ่มรอบในการทำกำไรครับ  เพราะถ้ามัวแต่รอให้ลูกหนี้จ่ายครบก็ไม่ต้องเอาเงินไปซื้อของกันพอดี(ในความเป็นจริงไม่ได้จ่ายตรงทุกคนนะครับ)  ทำให้ต้องยอมเสียดอกกู้จากแบงค์บ้าง  ซึ่งเงินกู้พวกนี้ไม่มีสินค้ากู้ไม่ได้นะครับ  ไม่เหมือน O/D ซะทีเดียว

อันนี้เท่าที่กวาดสายตาดูในงบก็ไม่มีปัญหาอะไร  อาจจะมีดอกจากเงินกู้แบบที่ว่าเยอะนิดนึง  คือเสียถึง 19m จากกำไร 60m  แต่ทำยังงัยได้  มันต้องหมุนสินค้า  และคาดว่าถ้ากลับสู่สภาวะปกติ  กู้เสียดอกเยอะๆแบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกนะครับ


ส่วนที่ต้องดูอีกก็คือ  การ stock ของ  เพราะสินค้า IT เป็นสินค้าล้าสมัยเร็ว  stock มาเกินไปกำไรจะหดเยอะครับ  บางทีต้องมาขายขาดทุนด้วยซ้ำ  วิธีการดูคือเอางบดุลเนี่ยแหละส่วนสินค้าคงเหลือ  มาหารด้วยต้นทุนสินค้า  อันนี้อย่าไปสับสนกับ A/R และ A/P เพราะเวลาเราขายของให้ชาวบ้านได้มาเป็นรายได้  ต้องเอารายได้ไปหาร  แต่สินค้าคงเหลือเราบันทึกเป็นราคาทุน  เราต้องเอาต้นทุนมาหารครับ  ขอพูดอีกทีนะครับ  "เข้าใจแบบพ่อค้า"ครับ ^^

จากงบ Q1 ต้นทุน 5,275m และสินค้าคงเหลือ 3,760m  แสดงว่าต้นทุนต่อเดือนคือ 1,758m  แสดงว่า stock สินค้าไว้ 2.14 เดือนหรือประมาณ 64 วัน  ถามว่ามากมั๊ย  ตอบสั้นเลยว่ามากโขอยู่ครับ  สินค้า IT stock ไปตั้งขนาดนั้นล้าสมัยง่ายมาก(เทียบกับ Synex แค่ 33 วัน  เรียกว่า Synex ฟื้นตัวแทบจะเต็มที่แล้ว  และระบบ stock ของดีกว่าชัดเจน)  และนี่เองที่เป็นปัญหาให้ SIS ต้องแก้อีกอย่างน้อย 1Q  และ Q นั้น margin น่าจะยังไม่ปกติด้วย  เพราะต้องระบายของออก


ส่วนตรงนี้ก็จะมีสูตรเล็กๆน้อยครับ  ทางบัญชีเค้าชอบยัดเยียดอะไรมาให้เยอะแยะเลย  คือคำว่า inventory day ก็คือวันที่ stock ตามสูตรข้างบนแหละครับ  ส่วนอีกคำคือ inventory turnover คือการทำรอบใน 1 ปี  พูดง่ายๆว่าเวลาเราขายของ  เราก็อยากขายหลายๆรอบ  วิธีคิดก็แค่เอา ต้นทุนมาหารด้วยสินค้าคงเหลือ  แล้วคูณ 365  ดูคุ้นๆไหมครับ  ก็แค่เอาวันที่ stock ของมาหาร 365 นั่นแหละ
อธิบายตามแบบพ่อค้าคือ  แก stock ของไว้เดือนนึง  แสดงว่า 1 ปี  แกขายของได้ 12 รอบ  ถ้า stock แค่ 15 วันก็จะขายได้ 24 รอบ  แค่นั้นเองครับ  บัญชีชอบทำอะไรให้งง 555+
ฉะนั้นเราก็อยาก stock ของน้อยๆ  เพื่อทำรอบเยอะๆครับ(แต่บางธุรกิจอาจจะแปลกออกไปบ้างคือบางทีต้อง stock ของกันราคาผันผวน  โดยเฉพาะพวก commodity)  และ inventory day X inventory turnover = 365 ครับ
ถ้าเข้าใจหลักการพวกนี้  จะไปประยุกต์ใช้ยังงัยก็ตามสะดวกเลยครับ

งบดุลคร่าวๆก็ดูประมาณนี้แหละครับ

สรุปว่าเรื่อง A/P และ A/R ของ SIS ดูไม่ผิดปกติ  แต่ stock ของเยอะมาก  ต้องหาทางระบาย  ซึ่งอาจจะทำให้ได้ margin ต่ำลง(ไปอีก)  และอาจจะต้องกู้เงินเสียดอกมาขึ้นเพื่อเร่งทำรอบ  ซึ่งตรงนี้คือปัญหาทั้งหมดของ SIS ตอนนี้แหละครับ  คิดว่าในอนาคตอันใกล้แก้ได้หรือไม่ได้ล่ะครับ ^^



2. งบกระแสเงินสด  ขอผ่าน  เพราะธุรกิจพวกนี้ต้องกู้เงินเพื่อจะโตอยู่แล้วครับ  ไม่งั้นมัวแต่รอเงินจากลูกหนี้มาจ่าย  จะทำให้ทำรอบได้น้อยและโตช้าครับ  การกู้จะคล้ายๆ OD แต่ต้องมีสินค้าถึงจะกู้ได้  รู้สึก SIS จะสามารถกู้ได้ถึง 6,000m  อาจจะเสียดอกมากน้อยแล้วแต่ครับ  ดังนั้น CF ติดลบอยู่แล้ว = ="



3. ยอดขาย Q1 ได้ถึง 5,500m เป็นที่ 1 ของอุตสาหกรรม  แต่กำไรบางเฉียบแค่ 0.48% หรือ 27m เท่านั้น  (ในขณะที่ Synex ราวๆ 5,100m แต่ขานั้นกำไร 1.6%  โฮ่ๆๆๆๆ  ต่างกันกว่า3เท่า )  สาเหตุก็เพราะอย่างที่บอกแหละครับ  ส่วน Synex ฟื้นกลับมาเร็วมากเช่นกัน
คาดว่า Q2 น่าจะฟื้นนิดนึง  แต่ยังไม่เต็มที่  ยอดขายเห็นว่าเดือนเมษาและต้นพฤษภาตกทั้งอุตสาหกรรมโดยไม่ทราบสาเหตุ  แต่คิดว่า 5,000m น่าจะขายได้  เอา margin สัก 1% ก็จะได้กำไรสัก 50m
โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า 2H55 น่าจะฟื้นตัวเต็มรูปแบบ(ถ้าไม่มีน้ำท่วมอีก)  ยอดขายพวกนี้ปกติจะมาบวม Q3 แต่ Q4 จะ drop ลง  แต่ขอคิดแบบไม่ conservative มากว่าน่าจะได้สัก 12,000m margin 1.5%(จริงๆถ้าฟื้นเต็มที่ควรจะได้ 1.7X% แบบที่เคยทำได้ด้วยซ้ำ)  ก็จะได้กำไร 180m

และ 27+50+180 =377m หาร 232ล้านหุ้นก็จะได้ EPS 1.1 บาท

ซึ่งขอบอกว่าที่ประมาณตรงนี้ยอดขายประมาณปีที่แล้วเอง  ซึ่งขนาด Q1 ที่ดูซบเซายังโต  เลยคิดว่าทั้งปีน่าจะได้มากกว่านี้  โดยแอบหวังไว้ว่าน่าจะได้ 24,000-25,000m ครับ  ส่วน %margin ขอบอกว่ากะเอา  แต่ conservative แล้ว(นิดนึง)

ซึ่งราคาวันนี้ 9.7 บาท  PE ก็ประมาณเกือบๆ 9(ซึ่งปกติ PE SIS อยู่ที่ 7-8  แต่ต้องยอมรับว่าเจอสถานการณ์ไม่ปกติ  ทำให้ครึ่งปีแรกออกมาไม่ดี)


แอบแถม Synex ให้  รายนี้ฟื้นเต็มที่แล้ว  คาดว่ารายได้รวมกัน 3Q น่าจะได้เท่ากันคือสัก 16,000m-17,000 m ขอคิด 16,000 แล้วกันนะครับ  คิดว่าน้อยกว่า SIS สักนิดนึง  ส่วน margin เอาเท่า Q1 คือ 1.6% ก็จะ EPS ออกมา 0.49 บาท  ซึ่งราคาวันนี้ที่ 5.35 บาท  PE 11 ครับผม

ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือปีต่อๆไปหลังจาก SIS ฟื้นเต็มที่ต่างหาก  สมมติปีหน้ายอดขายสัก 25,000m margin สัก 1.7% EPS จะออกมาถึง 1.8บาท  ซึ่งราคาที่ 9.7 นี้คือ PE 5.4 เองนะครับ  ซึ่งจริงๆคนอยากรวยยังมองว่าธุรกิจ IT ยังโตได้  จริงๆยอดขายหวังเกือบๆ 30,000 ยังไม่ฝันเปียกเลย  ส่วน margin ถ้าไม่เกิดอาเพศอีกก็คิดว่าน่าจะกลับมาที่ 1.7X% ได้ โดยต้องไม่ stock ของผิดพลาดแบบครั้งนี้อีกแล้ว  ส่วนน้ำท่วมยอมรับว่าช่วยไม่ได้จริงๆครับ


เชิงคุณภาพโม้เรื่อง IT ไปหมดแล้ว  จะมาบอกเล่ากันอีกนิดคือปกติคู่ค้ากับ distributor จะช่วยเหลือกันนะครับ  เค้าจะไม่กดราคาจน margin ต่ำติดดินและอยู่ไม่ได้  เพราะเค้ามาขายเองก็ไม่คุ้มครับ  จะมีการแอบช่วยกันอยู่ภายใน  เช่นของอันนี้ขายไม่ได้คู่ค้าก็อาจจะช่วยออกเงินสนับสนุนการขายให้บ้าง  หรือบางทีก็มีฝากขายไอ้โน่นไอ้นี่มาบ้าง  เรียกว่าพึ่งพิงกันมากกว่าเอาเปรียบกันครับ



ข้อเสียของธุรกิจนี้หรือ SIS คือ
1. ไม่มี DCA คุณไม่มีวันรู้จัก SIS หรือ Synex หรอก  แล้วก็ไม่เลือกด้วยว่าเป็นของใคร  ซื้อไปหมดนั่นแหละ  บางทีของหิ้วทำให้ distributor ต้องปวดหัวมาก  อันนี้ก็ตามแก้กันไปนะของเถื่อน
2. barrier of entry มีบ้าง  คือเข้ามาทำน่ะไม่ยาก  แต่รอดยาก  มีอย่างที่ไหนขายของ 20,000m กำไร 300m  เรียกว่าขายคอมเครื่องนึง 20,000 กำไรออกมา 300 บาท  เอาเวลาไปขายข้าวยังได้เยอะกว่าเลย ทำให้สายป่านต้องยาวเล็กน้อย  ธุรกิจพวกนี้เหนื่อยและต้องรับผิดชอบเยอะ  นอกจากจะกำไร 300 แล้วบางทีต้องคอยดูแลต่อด้วย(แต่จริงๆของ margin เยอะก็มีอยู่นะ  พวก smartphone margin เยอะอยู่  รู้สึกจะราวๆ 5% เลยมั๊ง)
3. margin บางเฉียบ ทำให้ stock ของพลาดทีเข้าตัวลึกเลย  แต่ในระยะเวลา 10ปี  SIS เพิ่งจะมาพลาดเอง  ส่วน Synex ยังเอาตัวรอดได้ตามปกติ
4. หูตาต้องไวและคม  เลือกของผิดทีก็เป็นแบบ SIS ได้  จริงๆการคาดการณ์ผิดในวงการนี้คงมีอยู่เรื่อยๆ(ใครจะไปเดาออกหมดว่าอะไรจะฮิตบ้างจริงไหม)  แต่ระบบ stock และระบายของต้องดีพอจะไม่ทำให้ margin เสียหาย  แต่ถ้าเลือกมาไม่ดีบ่อยก็แย่เกินไป  อันนี้ต้องตามดูกันนิดนึง




สรุปคร่าวๆที่ SIS น่าสนใจเพราะราคาร่วงมาเยอะ  ทั้งที่พื้นฐานไม่ได้เปลี่ยน  และปัญหาที่เกิดขึ้นแม้จะยังแก้ไม่หมด  แต่แก้ได้น่าจะแน่นอน
ที่สำคัญคือคนอยากรวยว่า IT คือธุรกิจผู้ชนะ  และ SIS น่าจะชนะตามไปด้วย



ฟันธงแบบไม่กลัวเงิบว่า SIS EPSไม่น่าจะต่ำกว่า 1.1 บาท  เอาแบบไม่ conservative คิดว่าจะได้ยอดขาย 24,000m และ EPS 1.36 บาท ครับผม



หมดปีมาดูกันเช่นเคย  หุหุ

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ11 เมษายน 2559 เวลา 05:07

    สวัสดีทุกๆคน,
    ต้องการบริการสินเชื่อที่ถูกต้องและรวดเร็ว? สมัครสำหรับขั้นตอนต่อไป เรานำเสนอทุกชนิดของเงินให้สินเชื่อที่ 2% อัตราดอกเบี้ยต่อปีจากช่วงของ 5000-50000000 บุคคลใดที่สนใจควรตอบกลับมาให้เรามีดังต่อไป: อีเมล์: thomson.loanservice@gmail.com

    ข้อมูลที่จำเป็นโปรดติดต่อเรา

    ชื่อเต็ม: ..........
    หมายเลขโทรศัพท์:.......
    รายได้ต่อเดือน: .............
    ประเทศ ...............................
    สินเชื่ออเนกประสงค์ ...........
    จำนวนเงินที่จำเป็น .................
    เงินกู้สถานะ / ระยะเวลา: ...........................

    ติดต่อเราโดยอีเมล: thomson.loanservice@gmail.com
    ประกาศเครดิต
    บริษัท เงินทุน
    ติดต่อ Speedy เครดิตในขณะนี้ !!!

    ตอบลบ