วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Growth Stock แพงเท่าไรก็ซื้อได้(จริงหรือเปล่า)

Growth Stock เป็นที่นิยมมากในตลาด  ด้วยสาเหตุหลายๆประการ  เช่น  ทำกำไรได้มากและต่อเนื่อง  ถ้าเลือกดีๆอาจจะไม่ต้องทำอะไรไปเลยอีก 10 ปี  แม้หุ้น cyclicals หรือ turnaround อาจจะให้กำไรในระยะสั้นมากกว่า  แต่เราก้ต้องหาตัวอื่นเมื่อ"หมดรอบ"การเล่นของมัน  แล้วจะหาเจอหรือเปล่าก็ไม่รู้(หุ้นมันคงไม่ turnaround แล้ว turnaround อีกหรอกเนอะ  แต่หุ้น growth มัน growth ได้เรื่อยๆ)


ทำให้หุ้น growth PE สูงเสียดฟ้า  ซึ่งหลายคนต้องซื้อแพง  แล้วไปขายแพงกว่า  แต่บางคนไม่กล้าซื้อ  ได้แต่ "รู้งี้....."


แล้วอย่างนี้ถ้าเจอ growth stock PE สูงทำงัยดีล่ะ ???

ม่ะ  เดี๋ยวคนอยากรวยสรุปให้เอง  เอาแบบฟันธงโช๊ะๆไม่กลัวหน้าแตกไปเลย ^^



ปกติ PE เป็นตัวกรองหุ้นที่นิยมใช้กันมาก  เพราะใช้ง่าย  ไม่ซับซ้อน  ความแม่นยำก็สูงพอควร  เรียกว่าใช้ดีๆ  ตัวเดียวหากินแบบไม่ต้อง DCF กันเลยทีเดียว


งั้นเรามาชำแหละ PE กันเล็กน้อย

PE หรือ PE ratio คืออัตราส่วนของ Price หารด้วย earning per share หรือ EPS  หรือถ้าเรากลับสมการอย่างง่าย(มันมีการกลับสมการแบบยากๆด้วยหรอวะ)  จะได้ Price = EPS x PE

EPS คือกำไรต่อหุ้น  ที่เป็นตัวเลขจากการดำเนินธุรกิจนั่นเอง  โดยมากเราจะมองไปที่อนาคต  หรือใช้ EPS ของปีถัดไปนั่นเอง  พูดให้หรูหน่อยก็ forward EPS(ซึ่งนักลงทุนต้องประเมินกันเป็นปกติอยู่แล้วนะจ๊ะ)


ส่วน PE คือค่าความคาดหวังของตลาดว่าตลาดจะให้ premium เป็นกี่เท่าของกำไร  แน่นอนว่าปกติเป็นที่รู้กันว่า PE =10 นอกจากจะแปลว่าได้ทุนคืนใน 10 ปีแล้ว  ยังแปลได้อีกอย่างว่าหวังกำไรโต 10%(คือถ้าปีนี้ได้กำไร 1บาท  ปีหน้าควรจะได้ 1.1 บาท  และปีต่อไปควรจะได้ 1.21 บาท)
แหมๆๆๆๆๆ  ถ้าตลาดมันมี"ประสิทธิภาพ"ขนาดนั้นก็ดีน่ะสิครับ  เพราะปกติ PE นอกจากจะขึ้นกับความคาดหวังของกำไรในอนาคตแล้ว  มันยังมี factor อื่นๆอีกมากมายทำให้ PE ตลาดไม่ออกมาเท่า % growth หรอกครับ  บางตัว growth ดี PE ต่ำ  บางตัว growth กลางๆ PE สูงมาก

แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เราจะให้ PE บริษัทนึงสูงมากๆๆๆๆๆๆ  ลองคิดเล่นๆกันตามความเป็นจริงเลยครับ  คนอยากรวยจะเน้นย้ำเสมอว่า  อย่าดูสูตรเป็นตัวเลขทางบัญชี  ให้ดูแบบพ่อค้าแล้วจะรวยแบบพ่อค้าครับ
สมมติว่าถ้าบริษัทนึงกำไร 1ล้านบาทต่อปี  เราจะยอมจ่าย 5 ล้าน, 10 ล้าน  หรือ 20 ล้านเพื่อซื้อบริษัทนี้ล่ะครับ  และบริษัทแบบไหนที่เรายอมจ่ายเพียง 5 ล้าน  บริษัทแบบไหนที่เรายอมจ่าย 20 ล้าน
คนอยากรวยขอเฉลยแต่อาจจะไม่ครบนะครับ  บริษัทที่ผมจะยอมจ่ายเพียง 5 ล้านคือบริษัทที่กำไรโตไม่มาก  บริษัทที่หนี้เยอะๆ  บริษัทที่โอกาสเจ๊งสูงกว่า  บริษัทที่ไม่แข็งแกร่ง ฯลฯ  แต่ผมจะยอมจ่าย 20 ล้านในบริษัทตรงกันข้ามกับบริษัทแรกครับ

คิดง่ายๆนะครับ  ระหว่าง CPALL กำไร 1 บาทจ่าย 20 บาท  กับร้านขายเต้าฮวยตราคนอยากรวยกำไร 1 บาทเท่ากัน  จะยอมจ่าย 20 บาทเท่ากันไหมครับ  และเพราะอะไรถึงจ่ายไม่เท่ากัน
ถ้าผมสมมติให้ร้านเต้าฮวยมีโอกาสโตเท่าๆกับ CPALL ด้วยเอ๊า  ตอบกันได้ใช่ไหมครับ 
เพราะความแน่นอนหลายๆอย่าง  ถ้าเศรษฐกิจเจ๊ง  CPALL กับคนขายเต้าฮวยใครจะไปก่อน  ถ้ามีคนทำแข่ง 7-11 กับคนขายเต้าฮวยใครจะไปก่อน  โอกาสโตได้จริงๆ CPALL กับคนขายเต้าฮวยใครจะโตได้ชัวร์กว่า

ทั้งหลายทั้งแหล่นี้ทำให้เราสามารถเพิ่ม PE ให้กับบางบริษัทได้ครับ  แต่จะเพิ่มให้แค่ไหนบอกไม่ได้หรอกครับ  เพราะตรงนี้แล้วแต่คนแล้วล่ะ
อย่าง CPALL นี่ถือเป็นบริษัทระดับเทพ  ตัวนี้ถ้าอยากได้ต้องจ่ายมากกว่า %growth อยู่แล้วครับ  เพราะเค้ามีทั้ง DCA, งบดุลที่แข็งแกร่ง, barrier of entry, โอกาสทางธุรกิจ ฯลฯ(ศัพท์ตัวไหนไม่เข้าใจลองไปหาดูใน google นะครับ)

แล้วมากกว่า % growth แค่ไหนดีล่ะ ???


งั้นเรามาชำแหละ PE กันต่อนิดนึงนะครับ  จะได้เอามายำ CPALL ถูกว่าจริงๆคือ superstock หรือผีอีแพงกันแน่ !!!


Lynch(อีกแล้ว)บอกว่า  งั้นเราดู PE อย่างเดียวไม่ได้  เราควรดู PE เทียบกับ %growth ด้วย  เพราะหุ้น PE 25 อาจจะไม่แพง  แต่ที่แพงอาจจะเป็นหุ้น PE 8 ก็ได้  เค้าเลยคิดอัตราส่วน PEG ขึ้นมาครับ(คนอยากรวยว่าไอ้อันนี้เราก็คิดเองได้นะ  จริงๆ PE เราทุกคนเคยคิดขึ้นมาเองด้วยซ้ำครับ  แต่ไม่ได้ตั้งชื่อให้มัน)
อันนี้อธิบายง่ายครับ  เช่นหุ้น PE 10 growth 10% ก็ได้ PEG =1 หรือ PE 20 growth 30% ก็ได้ PEG = 0.66 ครับ
ทายสิว่ามากหรือน้อยดี ???
อันนี้ตอบผิดไม่ต้องอ่านต่อเลยนะครับ  รบกวนใช้เหตุผลกันนิดนึง  อย่ายึดติดกับสูตรมาก  แล้วจะพบว่าน้อยๆยิ่งดีครับ


คงต้องเกิดคำถามต่อแน่ๆ  ว่า  ถ้าสมมติหุ้นตัวนึง PE 10 growth 10% กับ PE 30 growth 30% ได้ค่า PEG เท่ากัน  อันไหนดีกว่ากันใช่ไหมครับ


งั้นตามคนอยากรวยมา  คนอยากรวยจะชำแหละต่อให้ละเอียดเลยครับ  หึหึ
กลับมาที่สูตรแรกว่า price = PE x E  สมมติว่าผม fix ค่า PE ให้คงที่  ไม่ว่าเราจะให้ PE 4, 10 หรือ 50 ก็ตาม  จะเห็นว่าราคาจะขึ้นกับตัวแปรเดียวคือ E หรือกำไรครับ
แปลว่าอะไร  ยกเอาสมการนี้มาให้ดูครับ

price ปีหน้า/price ปีนี้ = PEปีหน้า/PE ปีนี้ x Eปีหน้า/Eปีนี้  จะเห็นว่าเรา fix PE ให้เท่ากัน  ดังนั้น PE จะตัดกันได้ 1
ส่วน price/price ตรงนี้คือ capital gain ครับ  เช่นปีนี้ราคา 50 ปีหน้าราคา 55 ก็แสดงว่าเราได้กำไร 55/50 หรือ 10% นั่นเองครับ
และ E/E ก็คือ % growth ครับ  เช่นกำไรปีนี้ 1 บาท  ปีหน้า 1.2 บาท  ก็แสดงว่า growth มา 20%

คนอยากรวยว่าถ้าคนเก่งเลขคงพอเข้าใจละครับ  และคงจะตอบคำถามข้างบนได้แล้วว่าตัวที่ PEG เท่ากันจะเลือกตัวไหน
ถ้าไม่เข้าใจ  มาฟังต่อครับ(ถ้าไม่เข้าใจลองอ่านอีกรอบหรือหลายรอบหน่อยก็ดีนะ  มันจะงงๆนิดนึง  แต่ทำให้เข้าใจอะไรอีกเยอะเลยนะคนอยากรวยว่า  นี่แหละน้า  ตอนอาจารย์สอนเลขไม่ยอมตั้งใจเรียน)

จากสมการแปลว่า capital gain = % growth โดยไม่ขึ้นกับ PE ครับ  แปลว่าปัจจัยที่ทำให้ราคาขึ้นมีอย่างเดียวคือ % growth เช่น growth 30% ก็ได้กำไร 30%

(ถ้าไม่เข้าใจลองนั่งเขียนดูก็ได้ครับว่า
ปีนี้กำไร 1บาท  ตัวนึงราคา 10 บาท  อีกตัวราคา 30บาท
ผ่านไปอีก 1 ปี  ตัวแรกกำไร 1.1 บาท  ราคา 11 บาท  อีกตัวกำไร 1.3 บาท  ราคา 39 บาท  แล้วก็นั่งติงต๊องเขียนไปหลายๆปี  ดูซิว่า capital gain จะเท่ากับกำไรที่คนอยากรวยอุตส่าห์นั่งทำสมการแทนค่าให้ดูไหม  เชอะๆ  สมการไม่โกหกใครแน่นอนครับ  อย่าไปนั่งติงต๊องขนาดนั้นเลย)


สรุปตรงนี้ก่อนยกนึงว่า  เราชอบเลือกหุ้นที่โตมากๆครับ  ด้วยเหตุผลดังสมการข้างต้น  โดยไม่ต้องสนใจ PE ด้วยซ้ำว่าจะให้มากให้น้อย  อยากให้มากก็ตามใจ  อยากให้น้อยก็ ok
growth ได้ 30% ก็กำไรปีละ 30% สามปีก็ double time ครั้งนึงครับ  โฮะๆ


แต่หลายคนคงแย้งว่า  เฮ้ย!!! แล้วตลาดบ้านป้าเอ็งจะให้ PE เท่ากันเป๊ะหรอฟระ 

ตลาดบ้านป้าผมก็คงไม่ให้ PE สม่ำเสมอได้ขนาดนั้นหรอกครับ  เพราะ PE มันคือความคาดหวัง  อย่างสมมติผมให้ PE CPALL 30 แต่ผมอาจจะคาดหวัง %growth แค่ 20 ก็ได้  ที่เหลือที่ผมให้มาจากความแข็งแกร่งด้านอื่นๆอย่างที่เคยบอก  ถ้า CPALL โตได้ 20% เสมอตัว  ผมอาจจะให้ PE "ประมาณๆเดิม"  แต่ถ้าโตไม่ได้  ผมก็พร้อมจะลด PE ลงมาใช่ไหมครับ  ซึ่งถ้าโดนทีนึง  ต่อให้กำไรไม่ลดลง  เราก็จะขาดทุนจาก PE ที่ลดลงครับ(ลองแทนสูตรในสมการก็ได้นะ)

แต่ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่าไอ้ PE 30-40 ที่ให้ CPALL กันตอนนี้  เค้าหวังระดับการโตกันขนาดไหน  เพราะตลาดมันเกิดจากคนหลายคน  ผมอาจจะหวังแค่ 15% เพื่อนๆคนอื่นหวัง 20% ถ้า CPALL โตได้ 15% ผมก็อาจจะให้ PE เพิ่ม  แต่ถ้าไม่ถึง 20% คนอื่นๆก็อาจจะลด PE ลงมา  แต่อยู่ที่ว่าคนที่มองว่าถูกหรือแพง  ทำได้ตามเป้ามีเยอะกว่ากัน


สำหรับบางคนที่ conservative มากๆอย่างผม  อาจจะไม่ค่อยชอบหุ้นที่ PEG>1 เพราะมองว่ามันมีความเสี่ยงจากการถูกลด premium ได้ทุกเวลาที่ตลาดจะให้(จริงๆต่อให้ PEG <1 ก็ยังมีนะ  แต่น้อยกว่าเยอะอ่ะ)  แต่จริงก็ไม่ถูกซะทีเดียว  Lynch ยังเคยซื้อหุ้น PE 40 โดยหวัง growth ราวๆ 25-30% มาแล้ว  และก็กำไรซะด้วย
อย่าง CPALL คนอาจจะบอกว่า  ตอน 10 บาท PE มันก็เท่านี้แหละนะ  30บาท PE เท่านี้ก็แพง  ไป 60 บาทก็ว่าแพงอีกแถม PE มากกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ  ได้แต่รอเมื่อไหร่จะซื้อ  จะรอสามหลักหรือมา 60 อีกทีอ่ะหรอ(หลัง XD)
แต่คนอยากรวยว่าโอกาสทางธุรกิจมันไม่เหมือนเดิมแล้วนะ  ไอ้ตอน 1,000 สาขา  เปิดอีก 200 สาขาก็เพิ่มกำไรได้ราวๆ 20%และ(อาจจะมีปัจจัยอื่นด้วยอ่านะ)  แต่ตอนนี้มี 6,000 สาขา  จะเพิ่ม 20% ต้อง 1,200 สาขาแล้วนะเฟร่ย  ไม่ง่ายๆ

แต่คนอยากรวยจะเดาใจตลาดไม่ได้หรอกนะ  CPALL อาจจะได้ PE 30-40 ไปอีก 5-6 ปี  หรือ PE50 PE80 เลยก็ได้ 



คนอยากรวยอาจจะจบแค่นี้ก็ได้  แต่ไหนๆก็ไหนแล้ว  ขอสรุปให้ถึงพริกถึงขิงไปเลย  แค้นมานานตามอารมณ์คนไม่มีหุ้น


จากสมการและบทความข้างต้นเราจะได้ว่า  หุ้นที่ PE 80 growth 30% กับหุ้นที่ PE 8 growth 30% เท่ากัน  ผ่านไป 20 ปี  หาก PE ยังคงเท่าเดิมตลอด  เชื่อหรือไม่ว่า capital gain จะเท่ากันเป๊ะๆ(ถ้าเข้าใจสมการข้างบนต้องเชื่อคนอยากรวยนะ  ถ้าไม่เข้าใจจะลองนั่งเขียนติงต๊องไป 20 ปีก็เอา)

โอเคว่าหุ้นตัวแรกคนที่เข้าก่อน PE จะเป็น 80 คงได้กำไรเป็นกอบเป็นกำแบบเละเทะ  แต่คนที่มาทีหลังตอนที่ PE ไม่เพิ่มแล้วก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก  แถมกำไรบานเช่นกัน

แต่ถ้าสมมติให้ growth เท่าเดิมตลอด  แต่ PE อาจขึ้นลงได้ตามตลาด  จะเลือกตัวไหนครับ ???
ระหว่าง PE 80 โดยหวังว่าอย่างน้อย PE มันจะไม่ตกมาอีก  ถ้าโชคดีมากๆก็อาจจะขึ้นไปอีก
กับ PE 8 ซึ่งโอกาส PE เพิ่มมากจนไม่รู้จะมากยังงัย  แต่โอกาสโดนลด PE น้อยสุด(ไม่ได้บอกว่าไม่มีนะ)


ที่ growth เท่าๆกัน  ตัว PE น้อยนอกจากจะเสี่ยงน้อยกว่าแล้ว  ยังมีโอกาสบวก premium ไปได้มากกว่าด้วยครับ
แต่ตัวที่ PE มากๆ  นอกจาก premium จะไม่เพิ่มแล้ว  ยังมีสิทธิ์โดนลดสูงอีกด้วย


ถ้าคุณหวังให้ CPALL อย่างน้อย PE เท่านี้ไปหลายๆปี(ซึ่งก็เป็นไปได้นะ)  แสดงว่าคุณหวัง capital gain เท่ากับ % growth ของ CPALL
เอาเท่าไหร่ดีครับ capital gain 15% 20% หรือ 25% บนความเสี่ยง PE 40

กับหุ้น growth stock ตัวอื่นๆ  ที่หวังการโตระดับ 20% เช่นกัน  บน PE 10,15 หรือ 20 ก็ตาม
เป็นอย่างไรกับหุ้น capital gain 15% 20% หรือ 25% บนความเสี่ยง PE 15


คนอยากรวยไม่กล้าฟันธงโช๊ะไปหรอกครับว่า CPALL PE จะไม่สูงกว่านี้  ความคาดหวังของฝูงชนคนอยากรวยเดาไม่ได้  แต่คนอยากรวยว่า CAPLL เสี่ยงเกินไป  ถ้าคาดหวังการโตที่ 2X% (จริงๆหวังโต 20% CPALL ก็เหนื่อยแล้วนะ)  หรือแปลแบบฟันธงเลยว่า


CPALL แพงไปแล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย !!!


สำหรับตัวที่ PE 15 คนอยากรวยก็ไม่ได้ฟันธงว่ามันปลอดภัยไร้กังวล  โตได้ 20%ชัวร์ ไม่โดนลด PEชัวร์  แต่คนอยากรวยมองว่าโอกาสเกิดมันน้อยกว่าตัว PE 40 เยอะนะ  ถึงงบจะไม่แข็งแกร่งเท่า, DCA จะไม่สูงเท่า
และยังโอกาสถูกเพิ่ม premium ด้วยซ้ำ(CPALL ก็มีแหละ  แต่น้อยนะ  จะเอา PE เท่าไหร่กันล่ะครับ)


อธิบายไปขนาดนี้ก็คงเข้าใจแล้วล่ะมั๊ง  คนอยากรวยไม่ได้บอกว่าคนซื้อ CPALL น่ะรวยอย่างเดียวไม่ได้ต้องโง่ด้วย  แต่ทำให้เห็นว่าหุ้นที่มันขึ้นจากค่า premium ทั้งนั้น แทบไม่เกี่ยวกับ E เลย
มันเหมือน buy and pray ที่บัฟเฟตบอกนั่นแหละว่า  ซื้อแล้วอธิษฐานให้มันขึ้น  แล้วจริงๆมันมีพื้นฐานมาเกี่ยวมาน้อยแค่ไหน
CPALL คงไม่เจ๊งหรอก  CPALL กำไรคงไม่ลดลงหรอก  แถมมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย  แต่ PE จะลดหรือเปล่าสิน่าคิด
ซื้อแล้ว PE ไม่ลด  ตลาดยังให้ premium สูงก็ดี  แต่ถ้าลด ???



ธุรกิจ CAPLL ยังโตได้อีกพอสมควร  แต่ไม่มีทางโตได้ตลอดกาล  แต่จะโตได้อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้  อาจจะ 3 ปี 5 ปี 20 ปี  ซึ่งมองดุปีนี้ก็ยังสดใสสำหรับ CPALL
แต่เราก็ต้องแยกบริษัทที่ดีกับการลงทุนที่ดี  บริษัทที่ดีซื้อในราคาที่แพงก็จะกลายเป็นการลงทุนที่ไม่ดี

หลายคนบอกว่า CPALL เป็นบริษัทที่ดี  โตได้  แข็งแกร่ง  คนอยากรวยไม่เถียง  แต่เงินที่ลงไปน่ะคุ้มหรือเปล่า  บริษัทที่ดีกับการลงทุนที่ดีมันคนละเรื่องกันนะคร๊าบบบบบบบบบบบบ


ฟันธงโช๊ะ !!!  สรุปอีกสักทีว่า CPALL แพงไปแล้ว  ถ้า PE ไม่โดนลด  การ buy and pray สำเร็จก็แล้วไป(แต่สำหรับคนทุนต่ำอย่าง ดร. ถือต่อได้นะ  เค้าทุนต่ำมากๆ)


สำหรับแนว VS หรือ trend follower คนอยากรวยไม่รู้เลย  แต่มันยังอยู่ในกระแส  ยังมีอะไรให้เล่นอีกพอสมควรเลย


ด่า CPALL ไปแล้วสบายใจ  หมั่นไส้ไม่มีหุ้น  กลับมาเชียร์หุ้นตัวเองดีกว่าครับ 555+

คนอยากรวยขอสมถะ  เล่นตัวที่ PE 10-15 อย่างกลุ่มประกันชีวิตดีกว่า  ดูแล้วอย่างน้อยอนาคตปีนี้ก็สดใส  ธุรกิจน่าจะ +20% ได้เลย  โดยเฉพาะ SCBLIF เล่นเอาซะการคำนวนคนอยากรวย conservative ไปเลย  ท่าทางจะได้เห็น EPS 5X ซะแล้ว  เรียกว่าราคาฝั่งขวาถูกไปทุกราคา  จะห่วงนิดนึงก็ตรง BLA ที่อาจจะโตน้อยกว่าธุรกิจเพราะคุณโชนสั่งหดเบี้ย  แต่กำไร 3.XX นี่ไม่น่าพลาดแล้วครับ

เรียกว่าโตได้ 20%+ เท่าๆกัน  แต่เล่นบนความเสี่ยงน้อยกว่าเยอะครับ(สรุปก็เชียร์หุ้นตัวเองนี่หว่า)




สุดท้ายขอสรุปนอกเรื่อง

มีคนบางคนเคยบอกว่า  หุ้นบางตัวที่เราดูแต่ PE ต่ำๆ  บางทีมันอาจจะเป็นหุ้นที่ถูกตลอดกาลก็ได้  ข้อความนี้อาจจะเป็นจริงกับหุ้นบางตัว
แต่ไม่เป็นจริงกับ growth stock แน่นอนครับ  คนอยากรวยขอนั่งยัน  นอนยันเลย

จริงๆถ้าเข้าใจสมการคนอยากรวยแทบไม่ต้องสมมติเลยครับ  แต่ยกไว้เผื่อๆก็ได้

เช่นหุ้น growth stock PE 6 growth 20% มันไม่มีทางเป็นไปได้  ที่ปีหน้าจะราคาเท่าเดิม  โดย PE เหลือ 4.8 และปีต่อไปก็ราคาเท่าเดิมใน PE 3 ปลายๆ (ลองสมมติให้ราคามันไม่ไปไหนดูนะครับ)

จริงๆหุ้น growth แค่รักษา PE เท่าๆเดิมไว้  ก็เพียงพอต่อการทำให้ราคาวิ่งแล้วล่ะครับ  ขอแค่มันเป็น growth stock ของจริงเท่านั้น  จะซื้อตรงไหนไม่สำคัญเลย  ตราบเท่าที่มันยัง growth อยู่(ถ้ามันเลิก growth ก็คงไม่เรียกว่า growth stock อ่านะครับ) 


growth stock อาจจะราคาถูกแค่ครั้งคราวเท่านั้น  
ดังนั้นคนอยากรวยขอสรุปแบบไม่มีตำราเล่มไหนเขียนว่า


"หุ้น growth stock ไม่มีวันถูกตลอดกาลครับ"


ถ้าเจอขอให้กอดให้แน่นนะครับ  และถือจนกว่ามันจะเลิก growth
ขอยกคำพูดเดิมๆจากบทความที่แล้วมาว่า  หุ้นแบบนี้ซื้อแล้วนอนหลับไปเลย 10 ปีไม่ได้นะครับ  ต้องดูด้วยว่ามันจะ growth ได้อีกนานแค่ไหน  ฟ้าสีทองไม่ได้อยู่ตลอดกาลครับ

และอย่าซื้อ growth stock ที่ราคาแพงเกินไป(เช่น CPALL)  เพราะมันคือ money game ที่ผลตอบแทนสูง  แต่เดิมพันก็สูงตามด้วย
ในตลาดมีโอกาสเสมอ  คือเกมที่ผลตอบแทนเท่าๆกัน  แต่เดิมพันน้อยกว่าครับ(เช่นประกันนั่นเอง  อิอิ)

จงเป็นเอ ศุภชัย  ตามหาณเดชน์นะครับ  อย่าเป็นแค่แฟนคลับที่เสียตังเข้าชม  เพราะ "ลุกคนสุดท้าย  จ่ายตังนะครับ"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น