วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ปรับประมาณการณ์กันหน่อย

จากงบที่ออกมา  คนอยากรวยอาจจะเปลี่ยนความคิดสัก 2 ตัว

ตัวหลักลูกรัก  คอหักลงมา 20% จากยอด  และคาดว่าพรุ่งนี้น่าจะลงอีก  ทำเอาเงินหายไปเป็นแสนๆ TT^TT

1. KTC

ผบห เน้นย้ำมากว่ากำไรโต 2 เท่า  ถึงจะโต 4 เท่าได้แต่ไม่ทำ
กับ ROE ปีนี้น่าจะได้ 10%กว่าๆ  แต่ปีหลังๆอาจจะได้ 20%

มาแกะคำพูดดูนะครับ

โต 2 เท่าแปลว่า 2 เท่าจากปีนี้  ปีนี้กำไรราวๆ 250m หรือ 1บาท  โต 2 เท่าคือ 500m
ไม่โต 4 เท่าคือ 4 x 250m = 1,000m

ซึ่งเท่ากับที่คนอยากรวยเคยอยากได้พอดี

ถ้าดูจริงๆ  บวกรายการต่างๆกลับ Qนึง 300m ยังไม่แปลกเลยครับ

มาดูต่อว่า ROE 10% กว่าๆ  แต่ Equity ตอนนี้คือเกือบ 6,000m  ตีว่า 6,000m
ROE 10-15% ก็จะได้ว่า  กำไร 600-900m

ถ้าแปลตรง Equity 20% ก็คือ 1,200m

และ ผบห แง้มตัวเลข NPL ว่าไม่ต่างจากเดิม  มีหนี้ให้เก็บอีกเพียบ  แค่นี้ก็สบายใจล่ะครับว่างบ"ไม่เหี้ย"ไปทาง surprise แน่นอน

แต่ที่ดูคือกำไรจะไม่ออกมาเท่าที่ควร  หรือแปลว่า"กั๊กกำไร"

ซึ่งคนอยากรวยก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าจะกั๊กเพื่ออะไร  ดูๆทรงแล้วมัน 4บาทเห็นๆ  แต่จะกั๊กเหลือ 2-3 บาท


อย่างไรก็ดีคงรอดูผลงาน Q1 อีกที  เพราะทุนไม่ได้สูงมาก  ลงมาจากวันนี้อีกคงซื้อเพิ่ม  เพราะดูแล้วระยะกลางพอไหว  แต่กำไรคงต้องอาจจะปรับลดลง


2 คือตัวที่เพิ่งลงใหม่(ทำไมมันซวยซ้ำซ้อนจริง)  คือ WORK

งบปีออกมาอึ้งมาก  เพราะต้นทุน  free TV เยอะเหลือเกิน  แถมเงินเดือน ผบห ก็สูงมาก
อันนี้กำลังให้ IR เช็คอยู่

ตอนนี้พอร์ทลงมานิดหน่อย  คิดว่าปีนี้ 3.XXm น่าจะได้  แต่จะ 4 หรือเปล่าต้องมาดูกันครับ  เย้


สู้ต่อไปเว่ย  กำไรตกก็หาตัวใหม่  สู้ๆ

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิเคราะห์ความผิดพลาดในรอบปี

คนอยากรวยเอามา analysis ละเอียดคร่าวๆเลยดีกว่า  จะได้รู้ว่าซื้อกี่ตัว  ตัวไหนเป็นอย่างไร

จะให้เกรดด้วยนะ  คริคริ


1. BLA : เกรด C
ตัวนี้เป็น"หุ้นตัวแรกในชีวิต"ที่ซื้อ  เพราะคิดว่าประกันชีวิตโตเยอะแน่ๆ  และรู้ว่ามีปัญหา"ชั่วคราว"คือสำรองสูง  และคิดว่าน่าจะคลี่คลายได้ดี
แต่สุดท้ายคิดผิด  เพราะสำรองลดช้ากวาที่คิด  และต้องหดเบี้ย  ทำให้ FP ติดลบ  รู้สึก Q4-55 TP ติดลบด้วยซ้ำ

การฟื้นตัวยังมองเห็นไม่ชัดเจน  โชคดีที่ไม่ขาดทุนครับ(แต่ก็ไม่กำไร)

ต่อให้ราคาขึ้น  ผมก็ไม่คิดว่าผมคิดถูกครับ  เพราะสุดท้ายกำไรออกมาน้อยกว่าที่ผมคิดอีก  ตัวนี้ผมบอกตัวเองเลยว่า"ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้  ก็ขายเหมือนเดิมครับ"  ไม่เสียใจที่ขายครับ

ตัวนี้ผมว่าผมเข้าใจธุรกิจคร่าวๆ  แต่อ่านไม่ขาดครับ

แต่อนาคตอาจจะกลับไปซื้ออีกก็ได้  ถ้าโอกาสเอื้ออำนวยครับ

p.s. ตัวนี้ผมมองว่าโอกาสฟื้นสูงมากครับ 80-90% เลย  แต่"เมื่อไหร่"คือคำถาม



2. SCBLIF : เกรด A
ตัวนี้เป็นหุ้นตัวที่ 2 ในชีวิต  เพราะจะทำ pair trade กับ BLA  ตอนนั้นชอบประกันชีวิตมากๆๆๆๆๆ
เข้าซื้อตอน 500 ขายหมูไปตอน 630 และกลับมาซื้อใหม่ตอน 700

ถ้ารวมปันผลคือหุ้นเด้งตัวนึงในชีวิตผมเลย  ตัวนี้ผมแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น delist แล้วเสี่ยงซื้อไป  เพราะตอนนั้นมันคิด F PE ได้ 10 เอง

เรียกว่าตอนนั้นรู้ไม่เยอะ  แต่ดีที่ซื้อถูกตัว  และถูกเวลา  ที่สำคัญคือผม"คิดถูก"



3. RML : เกรด F
ตัวนี้เป็นตัวที่ผม"ศึกษา"น้อยมาก  ซื้อเพราะบอกเลยว่า bet  สุดท้ายแจก W แล้วราคารูดลงไปเกือบ 30%  จากทุน 1.8 ลงไป 1.4 แล้วดีดกลับนอนที่ 1.5-1.6 นานมาก  พอคิดว่าตัวเองไม่รู้จริงเลยตัดสินใจ"ขาย"

ตัวนี้ผมไม่ได้บอกว่าไม่ดี  แต่เพราะผมไม่เข้าใจ  การให้เกรดผมจะอิงกับความคิด  มุมมองว่ามองถูกหรือเปล่า

ด้วยมุมมองแบบนี้  ขาดทุนแบบนี้  ผมให้ตัวเองมองผิดครับ  และขาดทุนตามระเบียบ

หลังจากตัวนี้ผมสาบานกับตัวเองว่า  จะไม่มีหุ้นที่ไม่อ่านก่อนซื้ออีกแล้ว !!!!


4. SNC : เกรด C
ตัวนี้ผมดูการเติบโตและ ratio ดีมาก  ไปอ่านในห้อง TVI มีคนโพสต์เยอะที่สุด  การเติบโตสูง  ดี  แถม ผบห ซื้อสัตย์  ขยัน  มองกันไป 3 หลักเลยทีเดียว

ก็โอเคครับ  ซื้อแล้วก็ทนดูราคามันขยับ 5-10% กำไรขาดทุนขำๆ  แต่ปันผลพอสมควรเลยทีเดียว

ตัวนี้ผมเข้าใจธุรกิจเพียงผิวเผิน  แต่มุมมองค่อนข้างเข้าใจ

โดยรวมถือว่าเข้าใจว่ามัน"ยังไม่ดี"  เลยชิงขายหนีแบบมั่วๆ

สรุปโชคดีมากที่กำไรราวๆ 10-20%  และปันผลอีก 4%  หลังจากขายงบออกมาไม่ดี  ร่วงไป 20%  อันนี้ฟลุคแบบไม่ inside ครับ



5. HTECH : เกรด D
ตัวนี้ผมดู ratio ดี  ผบห เก่ง  การเติบโตสูง  มาแนวกับ SNC เลยครับ

และเหมือนเดิมคือผมเข้าใจธุรกิจเพียงผิวเผิน  แต่มุมมองค่อนข้างเข้าใจ(ลอกประโยคบนมาเป๊ะๆ)

แต่ตัวนี้ผม discount grade มาเหลือ D เพราะผมยังแอบมั่นใจว่ามันดี  โดยอาศัย ratio ว่ามันเคยทำได้ 0.15 บาท/q มา 2Q ก็เลยคิดว่า Q3 น่าจะทำได้อีก

ตัวนี้ผมขายแบบมีนอกมีในก่อนงบออกครับ  พูดตรงๆก็คือ"งบหลุด"  โดยจากที่ผมกะไว้ 10-15 ตัง  รู้สึกเพื่อนจะบอกมา 7 หรือ 8 ตังนี่แหละครับ


โอ้  เชื่อไว้ก็ไม่เสียหายครับ
งบดีก็แค่หมู  งบเหี้ยนี่ตายครับ  ก็เลยขายและงบก็ออกมาตามที่เพื่อนบอกครับ  ดับอนาถมาก

ผมก็ไม่ได้ยุ่งกับตัวนี้อีกเลยจน Q4 งบออกมาขาดทุนซ้ำอีก = ="

รู้สึกโชคดีครับ  แม้จะใช้ศาสตร์มืดบ้างก็ตาม


6. SIS : เกรด C
ตัวนี้มาแนว ratio ดีอีกแล้วครับ  แต่ไม่ใช่หุ้นโรงงาน

และมาแนวว่าเกิดปัญหา"ชั่วคราว"คือน้ำท่วม

ตัวนี้คนอยากรวยมองธุรกิจ  กิจการ  เข้าใจถูกหมด  แต่ที่ผิดคือ
- ปัญหาที่โดนน้ำท่วมยังแก้ไม่หมดดี
*** - มองภาพใหญ่อุตสาหกรรมผิด  เพราะสินค้า IT พวก PC และ notebook drop ลงมาก ***


พองบออกมาฟาดหน้าว่าคนอยากรวยคิดผิด  และอุตสาหกรรมมันหดตัว  ก็ขายทิ้งราคาเปิดทันที  โชคดีที่มันลงไปต่ออีกมาก
โดยรวมตัวนี้"ขาดทุน"มากที่สุด  เทียบกับขนาดพอร์ทตอนนั้นนน่าจะ 5-6% เลยทีเดียว

แต่โดยรวมคิดว่าตัวเองมองภาพธุรกิจไม่ขาดแค่นั้นเอง

เป็นที่มาที่ทำให้คนอยากรวย"เข้าใจ"ตัวเร่ง  ว่าถ้าจะซื้อหุ้น turn around รอ"ตัวเร่ง"ก่อน  อย่ารีบเข้าไปเดี๋ยวเงินจม
ต้องขอบคุณเหมือนกัน  ถ้าไม่มีตัวนี้  คนอยากรวยคงไม่เข้าใจตัวเร่ง



7. JUBILE : เกรด A
จะเห็นว่า 6 ตัวก่อนหน้า  ถูกจังๆแค่ตัวเดียวคือ SCBLIF นอกนั้นเน่าหมด  ดีที่ตลาดดี  ไม่งั้นขาดทุนอ๊วก(แม้จะไม่กำไรเท่าคนอื่นก็ตาม)  ดังนั้นใครจะลอกตามคนอยากรวยคิดดีๆ  เม่าก็คือเม่า 555+

ตัวนี้คนอยากรวยก็เลือกเองอีก  ถือว่า"คิดถูก"  และโชคดีที่"ตัวเร่ง"มา

ตัวนี้จริงคนอยากรวยมองว่าคือว่าที่ winner stock เลยนะ  คือจริงๆมันดีอย่างนี้มานานแล้ว  และจะดีอย่างนี้ต่อไปอีกนาน  ถ้าไม่เกิด economic crisis ซะก่อน  เพราะเพชรแบบ"ค้าปลีก"ยังไม่มีเจ้าตลาด  และ JUBILE คือผู้นำ  และการโตมาถูกทางมากๆ  แบรนด์แข็งแกร่งเรื่อยๆ

ที่อื่นไม่กล้าพูด  แต่ใน blog ตัวเองคิดว่ามันคือผุ้ชนะในวงการเพชรในอีก 4-5 ปีข้างหน้า  ทุกคนจะรู้จักยี่ห้อแบรนด์ JUBILE  แต่ตอนนี้คนยังคิดว่ามันไม่ใช่ modern trade หรือไม่ก็รอความสำเร็จจริงๆของมันอยู่ !!!

ตัวนี้ทำ century break ตัวแรกในชีวิตโดยถือมาไม่น่าเกิน 2 เดือน  แต่ทำตอนเค้าปั่นกันแตะแปบเดียว  ยังไม่ทันเห็น +100% ก็ลงมาซะก่อน(เสียใจนะเนี่ย)  แถมมีน้อยที่สุดในพอร์ท  กำไรเยอะจริงแต่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

และคนอยากรวยก็แอบซื้อตามทางอีกตอนร่วงๆ  เพราะเค้าทำได้"ดี"ตามที่ควรจะเป็น

โตไม่มากไม่หวือหวา  แต่ 20-30% ต่อปีอีกนาน  PE สูงแต่เทียบกับ modern trade อื่นๆยังจิ๊บๆ

ตัวนี้ลืมเขียนลง blog  555+


8. HMPRO : เกรด B
หุ้น super stock 1 ใน 2 ตัว  ตัวนี้ยอมรับว่ากัดฟันซื้อตอนมันนิ่งๆนี่แหละ
คุยกับอาจารย์อาจารย์ก็บอก  ผมก็เก็บเหมือนกัน(แอบดีใจ)
แถมยังสอนบทเรียนใหม่คือ  "หุ้นพวกนี้มันไม่ floor หรอกครับ  เพราะคนรู้ว่ามันดี  ลงเยอะก็มีคนเก็บ"

ตัวนี้คงไม่ได้ให้คะแนนตัวเองสูงมาก  เพราะหุ้นมันชัดมากตั้งแต่แรกอยู่แล้ว  แค่ไปเก็บตอนไม่มีคนพูดถึง  ตัวนี้โตเรื่อยๆอีกนาน

กำไรพอใช้ได้  แต่มีน้อย  เลยต้องขายหมูไปรับตัวอื่นเดี๋ยวเล่าอีกที

แต่อย่างน้อยก็เข้าใจภาพธุรกิจ modern trade มากขึ้น


9. INTUCH : เกรด B
ตอนนั้นรุ้สึกทนไม่ไหวกับ BLA เลยทยอยขายออก  และ BLA มันเยอะมากๆๆๆๆๆๆ  จนไม่รู้จะหาตัวไหนลง  ก็เลยมาลงที่ safe heaven คือ intuch  เพราะคิดวาเอาไว้ฝากเงิน  อย่างน้อยน่าจะกำไรกว่าฝากธนาคาร  เผลอๆจะได้เงินก้อนใหญ่  อิอิ  เก็บจนมากที่สุดในพอร์ทเพราะไม่รู้จะซื้อตัวไหน

สุดท้ายมันก็นิ่งอยู่ 6 เดือน  ราคาขึ้นๆลงๆอยู่นั่นแหละ

ในที่สุดก็ขายออกจนหมด  กำไรราวๆ 4-5%  ก็ไม่เยอะ  แต่ถือว่ามันก็ทำตามหน้าที่ของมันคือ"รับฝากเงิน"(จริงแอบหวังอย่างอื่นด้วย  แต่ไม่ได้ของแถมก็ไม่เป็นไร)

ตัวนี้สอนคนอยากรวยให้คิด DDM เป็น


10. NINE : เกรด A
ตัวนี้แอบภูมิใจว่ามองออกเป็นลำดับต้นๆ  เพราะแนวโน้ม"ดี"ชัดเจน  แม้กำไรจะยังไม่ออกมาก็ตาม  แต่เสียดายที่ซื้อ"น้อย"ไปนิด

ตอนซื้อคิดว่าเป็นเด้งแหงๆ  อาจจะสักปีนึง  แต่ด้วยโชคหรืออะไรไม่รุ้มันมาเร็วมาก  พอๆกับ JUBILE แต่ไม่มีกำไรรองรับ  ไม่กล้าไล่ครับ  เลยมีอยู่น้อยมากอีกแล้ว

พระเจ้าก็แกล้งต่อด้วยการให้เนชั่นมา"เพิ่มทุน"  แล้วมีการลากไปจนได้ 3 เด้งกว่าๆ

สำหรับคนอยากรวยถือว่ามัน"นอกเกม"แล้ว  เพราะไม่รู้ volume ไม่รู้กราฟ  และมาถึงราคาเป้านานแล้ว  ที่เหลือเมื่อ"ไม่อยู่ในเกม"ของเรา  คนอยากรวยเลยขายทิ้งดื้อๆครับ

ส่วนจะหมูหรือเปล่าไม่รู้  รอลุ้นเอา


11. KTC : เกรด A
ตัวนี้มองช้ากว่าเซียนไปเยอะมาก  ทำให้ต้องมา take risk การทำงานต่อว่าจะดีจริงไหม(เซียนหนีไปหมดแล้ว)  เป็นตัวหลักในพอร์ทและตอนนี้โดนทุบมา 1 อาทิตย์ติดๆลงไป 10%  เรียกว่า"อ๊วกแตก"

แต่ทนถือต่อ  แลั้วตัดสินว่าเป็นอย่างไร  ถ้าได้ตามเป้า  ถือว่าเกรด S เพราะมองขาดทะลุ  แต่ถ้าไม่ได้ตามเป้า  เอาไปเกรด B เพราะก็ยังเทิร์นหลอกๆได้(อาจจะขาดทุนจากตรงนี้นิดหน่อย)

โดยส่วนตัวมองว่าน่าจะไปต่อ  มาลุ้นกัน  ชะตาชีวิตปีนี้คงต้อง"ฝากไว้"กับตัวนี้ละ

และตัวนี้สอนให้คนอยากรวยรู้จักการ follow buy เพราะปกติหุ้นขึ้นก็กลัวและหยุดซื้อทันที(เหมือน JUBILE กับ NINE)  ตัวนี้ทำให้ใช้วิชามารอย่าง MM มากขึ้น


12. RS : เกรด A
หุ้นตัวนี้หลายๆคนมองมันเกือบๆจะดีแล้ว  เพราะติดปัญหา LC pay TV ทำให้อาจจะขาดทุนจากค่าลิขสิทธิ์ลาลีก้าทำให้คนกลัวขาดทุน

แต่คนอยากรวยแอบไปคุยกับ IR และนั่ง valuation เองมั่วๆแล้ว  คิดว่า F PE แค่ 10 นิดๆเอง  กับหุ้นที่อยุ่ในเทรนด์และ"ดี"ขนาดนี้

ทำให้นั่งเก็บตัวนี้เยอะมาก  โดยเสี่ยงเก็บ W เพราะ W มันน่าจะได้ราวๆ 1 เด้ง

เหมือนสวรรค์เห็นใจความพยายาม  พอเก็บคน 20% ก็ลากออนทัวร์ทันที  ในเดือนนิดๆ  ก็ได้ 1 เด้งมาสมใจครับ  แต่อีกใจนึงก็เซ็งเพราะเงินเดือนใหม่ยังไม่ออกมาให้เก็บตัวนี้เพิ่มอีกเลย  ขี้เกียจทำการบ้านอ่ะ


ส่วน WORK ยังไม่ประกาสผลสอบ  รอดูก่อน


โดยสรุปปีที่แล้วซื้อ-ขายหุ้นเยอะมากๆ  12 ตัว  เงินลงพอร์ท 100% ตลอด

เน่าไปจริงๆ 2 ตัว(HTECH,SiS)  ไม่ไปไหน 2 ตัว(INTUCH, SNC) และไปแบบไม่ได้มีส่วนร่วม 2 ตัวคือ RMLและ BLA ถือว่าบัดซบอยู่  โอกาสผิดถูกมัน 50:50 เหมือนมั่วเอาเลย

ตัวที่ประสบความสำเร็จคือ SCBLIF, RS, KTC, NINE และ JUBILE ได้มาเฉลี่ยราวๆ 1 เด้งทุกตัว



สรุป

- การเข้าซื้อมีผิดพลาดตามตัวที่เข้าผิดไป
- การขายมีผิดพลาดครั้งเดียวคือขาย SCBLIF ตอน 630 แล้วไปซื้ออีกทีตอน 700
ที่เหลือแม้จะขายหมู HMPRO แต่เพราะคิดว่า KTC มี upside เยอะกว่า  และคนอยากรวยคิดถูก(ถึงตอนนี้นะ  ต่อไปอาจจะคิดผิด)  ที่เหลือคือ cut loss ทิ้งอย่างมีเหตุผล  เพราะ"คิดผิด"ตั้งแต่ตอนซื้อ  โชคดีที่"ยอมรับความจริง"ได้


ตัวที่"พลาด"ไม่ได้ซื้อ

คนอยากรวยจะไม่เอาตัวที่ไม่ได้อยู่สายตามารวมนะครับ  แต่จะเอาเฉพาะตัวที่อ่านพอสมควรแล้ว  แต่ไม่ซื้อ

- GL เป็นหุ้นเป็นเด้งๆที่พลาดอย่างจังและเสียใจอย่างที่สุด  เพราะอ่านเข้าใจแล้ว  คำนวณออกแล้วว่ากำไรน่าจะ 4-5 อย่างต่ำ  ราคาตอนนั้น 24-25 บาท
แต่ดันไปอ่านบทความนึงบอกว่า "หุ้นการเงินมักจะได้ PE 5-7  เพราะมักมักจะเจ๊งเมื่อเกิด economic crisis หรือไดีจนถึงวันเจ๊ง""
ซึ่งเอาราคามาคิดก็  อืม FV พอดีนี่หว่า  เลยไม่ได้ซื้อ  สรุปไป 80 บาท  แทบบ้าครับ
คนอยากรวยว่าคนเขียนบทความไม่ผิด  คนอยากรวยประเมินตลาดผิดเอง

-AOT หุ้น 1 เด้งอีกตัว  ที่อาจารย์แนะนำมาโดยตรง  ยอมรับว่าอ่านแล้ว  ประเมินกำไรแบบงงๆแล้ว  เข้าใจประเด็นแล้ว  แต่ไม่ได้เล่นเพราะตอนนั้นแอบไม่ชอบ
สรุปก็หมูไป 1 เด้ง  ส่วนอาจารย์ได้มา 500m  โอ้  พอร์ทเราช่างต่างกันจริงๆ

-JAS หุ้นอีกเด้งที่หายไป  เข้าใจภาพธุรกิจ BB แล้ว  มองตอนนั้น F PE 10-12 ไม่รู้ไปกลัวอะไร  ไม่กล้าเข้า  สรุปหมูไปตามระเบียบรัตน์


ส่วนตัวอื่นมองผ่านๆ  อย่างเช่น SIRI อ่านไม่เข้าใจ  SUPER มองว่าไม่ดี  เป็นต้น


โดยภาพรวมถือว่าเฉยๆ  แต่คิดว่าเป็นปีแรกที่เข้าตลาด  มีมั่วเยอะเลยคิดว่าพอใช้ได้

อย่างไรก็ดีปีนี้เป็นปีที่ 2 แล้ว  หน้าใหม่หรือเพิ่งเข้าตลาดคงใช้ไม่ได้อีกแล้ว  ก็ต้องทำให้"ดี"ในฐานะคนเล่นหุ้นให้ได้ครับ  โย่วววววววววววววววว

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

WORK เนี่ยมันก็ WORK นะ

แอบอู้ไปช่วยเป็นแอดมินบางเพจมานาน  ลงแต่บทความที่โน่น(บางอันก็ก็อปของที่นี่ดื้อๆเลยนะ)  รู้สึกว่า blog ตัวเองไม่ค่อยเขียน

เลยกลับมาเขียน blog ตัวเองดีกว่า(ถึงจะไม่มีคนอ่านก็เถอะ)


เพราะเวลาคนอยากรวยกลับมาอ่าน  เหมือนจะเข้าใจเลยว่า  เฮ่ยเรารู้สึกยังงัยตอนนั้น  ตอนนี้เป็นยังงัยบ้าง  เพราะเวลามองไปข้างหน้าตอนนั้น  จะได้เอามาปรับปรุงถูกว่าตรงไหนเราไม่ได้คิด  ตรงนั้นเรามองพลาด

มั่วเอง  เจ็บเอง  อ่านเอง  ก็ดีเหมือนกัน(บ้าเนอะ)


กลับมาที่ sat TV เหมือนเดิม  รู้แต่แมร่งกลุ่มนี้ล่ะตู

คือตอนแรกได้ยินความรุ่งเรืองของกลุ่มนี้เมื่อตอนไปสัมมนาเมื่อเมษาปีที่แล้วมั๊ง

ตอนนั้นคนสัมมนาชี้ตัวที่ดีชัดๆเลยคือ RS กับ WORK(แต่ไม่ได้บอก TP นะครับ  แต่บอกว่าดี)
ก่อนหน้านั้นมันวิ่งมาค่อนข้างไกลครับ RS 3 -> 3.9  WORK 20 -> 28

บอกตรงๆว่าตอนนั้นติดราคาที่มันวิ่งครับ  ยิ่งไปดู WORK มาจาก 12 ก็ยิ่งปลงครับ


ก็เล่นอะไรไปเรื่อยๆตามประสาเม่า  จนมาอ่านอีกทีปลายปีครับ  อ่านก็เกทพอสมควร
เล็งไป 3 ตัวครับ NINE, RS, WORK

เข้า NINE ไปก่อน  เพราะคิดว่า upside เยอะ story ดี ฐานต่ำ  ตอนนั้นไม่มีคนเล่นแบบตอนนี้ครับ  เก็บได้นิดหน่อย  ก็พอดีกว่า  เพราะไม่ชัวร์มาก

ต่อมาจะเข้า WORK ก็ดันวิ่งจาก 30 -> 50 โอ้โห  เจ็บครับเจ็บ  60% หายไปในพริบตา

สรุปเหลือ RS ซึ่งตอนนั้นเห็นว่ายังไม่ค่อยดี  เพราะงบ Q3-Q4 จะต้องรับขาดทุนลาลีก้าจากยังไม่ได้รับ LC pay TV ครับ

แต่พอ Q3 ออกมา RS ทำได้ดีกว่าคาดครับ  ผมเลยนั่งคิด  จนหลังปีใหม่  เริ่มมาเคาะเพราะจะปรับพอร์ท เน้นเก็บ W ครับ  และมีจังหวะนึงแม่ร่วงมาถูกกว่าลูก  ผมเลยเก็บแม่ไป 1 ไม้  แต่เน้น W เพราะจะใส่ gearing ครับ

และเพราะ RS ทุนผมต่ำ(ทั้งตัวแม่และ W)  เขียนไปมันเหมือนโม้  เพราะเขียนอะไรมาแมร่งก็ถูก  เพราะราคามันขึ้นแล้วงัย  ผมเลยไม่เขียนดีกว่า



ดังนั้นเพื่อบากหน้ารับชะตากรรม  ผมว่าผมวิเคราะห์ WORK ดีกว่า  ไม้แรกผมนี่แหละ 52-53 โหดไหมล่ะ  ราคาแถวๆนี้เลย  จะหน้าแตกหรือเปล่ามาดูกัน


WORK เป็น content provider ตัวพ่อครับ  เอาสาระเลยละกัน

1. เดิม WORK ทำ 14 รายการ(+3 รับจ้างผลิต)  ซึ่งใน Q2-54,Q2-55 และ Q3-55 ได้ GP ส่วนนี้ถึง 140-150m
สาเหตุที่หายไปช่วงนึงใน Q3-54 และ Q4-54 เพราะน้ำท่วม  โฆษณาไม่ลงแต่ fixed cost มันสูง  รายได้เลยลดฮวบอาบ
และสาเหตุที่ก่อน Q2-54 GP ไม่สูงเพราะ  หลังจากนั้นได้รายการเพิ่ม 3 รายการ  คนอยากรวยจำไม่ได้นะ  ต้องเช็คใน 56-1

2. sat TV ต้นทุนมาแล้ว  แต่ราคาปรับค่าโฆษณาเริ่มปีหน้า  จาก Q3-55 คือรายได้ 42m ต้นทุน 35m  ดังนั้นในปีหน้าค่าโฆษณาจะขึ้น 66.67% แต่ต้นทุนจะไม่เพิ่มมากเท่าหรืออาจจะไม่เพิ่มเลย

3. ส่วนอื่นๆ  ผมคิดเหมาๆแบบต่ำๆแค่ GP = 50 พอ  จริงๆ show biz ปีหลังๆ work ทำได้ดีมาก  แค่ปีที่แล้วก็ 60m แล้ว  ปีนี้ 3Q ก็ 59m    และมีหนังกับนิตยสารอีก  จริงๆ 50 ผมว่าพอเหลือๆ
บางทีอาจจะ 100m ก้ได้  แต่ผมเอา 50 พอ  และคิดว่าพอ

4. ต้นทุน  ปกติตก Q ละ 100m-(คือไม่ถึง 100 ดี  Q4 อาจจะบวมแต่ไม่มาก)  ดังนั้นปีหน้าผมให้ SG&A 500m เลย  ตก Q ละ 125 ขึ้นให้ 25% เลย(ปี 53 SG&A 400m)

5. หนี้ไม่มี  ภาษี 20%


ขั้นแรกเลยคือคนอยากรวยมองว่า GP ของ free TV Q ละราวๆ 250 น่าได้  "ถ้าไม่หลุดผัง"  ดังนั้นปีละ 1,000m ไม่น่าเกลียดเกินไป(รอดู Q4 คอนเฟิร์มอีกทีนะครับ)

 ขั้นต่อมาคือปรับราคาขึ้นครึ่งนึงคือ 7 รายการ  รายการละ 7-20%  เฉลี่ยตาม ait time คือ 5.7%  ซึ่งจริงๆแล้ว  ถ้าค่าโฆษณาขึ้น  ต้นทุนไม่ควรขึ้นตามหรือขึ้นตามก็ไม่เท่า

สมมติขึ้นเท่ากันจะได้เพิ่มมา 34m
ถ้าไม่ขึ้นตามจะได้เพิ่มมา 90m

ชอบตัวไหนหยิบไปใช้ได้ตามสะดวก  สมมติมองกลางๆก็ 50 อ่ะ

แต่ยังมีรายการใหม่อีก 3 รายการ  มีรายการนึงค่าโฆษณาต่ำมาก  ดังนั้นคิด 2 รายการพอ discountๆ  ก็ air time จะเพิ่มมาราวๆ 12%  ซึ่งเหมือนเดิมครับ  ต้นทุนไม่ควรเพิ่มตามมาก  ซึ่งถ้า track record ดีจะพบว่าช่วงเปิดรายการใหม่  ต้นทุนเพิ่มน้อยมาก

สมมติถ้าขึ้นเท่ากัน  จะได้เงินเพิ่มมา 72m
สมมติถ้าไม่ขึ้นตาม(จริงๆน่าจะขึ้นนิดหน่อย) จะได้ 192m  ซึ่งน่าจะเยอะไป  ลงมาเหลือ 150 พอ

มองกลางๆอีกคือ 100  อ่ะ

ดังนั้น GP free TV อยู่ที่ 1,150m (ถ้ามองดีก็ 1,240)  หรือ conserv น่าจะราวๆ 1,100m



ต่อมาที่ sat TV ซึ่งคนอยากรวยดูจาก Q3 ต้นทุนน่าจะเท่าๆเดิม คือ 35x4  แต่เพิ่มให้ 200 เลยอ่ะ  รายได้น่าจะ Q ละ 50m  ปรับ 67.7% ก็ปัดลงมาที่ 300m

ดังนั้น sat TV น่าจะ GP 100m


อื่นๆ 50m


รายได้ 1,150 + 100 + 50 = 1,300
รายจ่าย 500 m

EBIT 800m หักภาษี 20% เหลือ 640m  เทียบราคาวันศุกร์ที่ 54 บาทก็ PE 23  ซึ่งมอง F PE ถือว่าแพงครับ  แต่จะเห็นว่าคนอยากรวยตัดไปเยอะมาก  ตัดจนแหว่งๆๆๆๆๆ


มามองอีกมุมนึงว่า  กำไร NPM มันไตรมาสละ 140m มองจาก Q3  แปลว่าทั้งปี 560m พอได้ในฐานภาษี 23% และไม่หลุดผัง

story ที่มาแน่ๆคือปรับค่าโฆษณา free TV และ sat TV, ได้ 3 รายการใหม่, ภาษีปรับลงเหลือ 20%
ไม่นับอันที่ไม่ชัดเจนอย่างเปิดช่องใหม่หรือความสนใจจะประมูล digital TV

ซึ่งด้วย story ที่ชัดเจนไปแล้ว  คนอยากรวยมองไปที่ 700m++ นะ  ถ้าฟลุคอาจจะแตะๆ 800 หรือเฉียดๆได้
ไหนจะเปิดช่องใหม่อีกกี่ช่องก็ไม่รู้หว่า

สรุปมอง EPS 3บวกลบๆ  PE ตอนนี้ก็ไม่ถึง 17 ถือว่าโอเคนะ


ตัวนี้คนอยากรวยว่าควรจะให้ PE สูงนะ  เพราะมันเป็น content ซะเกือบหมด  ที่มีโอกาสโตแค่"มาก"หรือ"น้อย"เท่านั้นเอง

และยังอยู่ในเทรนด์ที่น่าจับตา  สำหรับคนอยากรวยคนอยากรวยว่าถ้าตลาดไม่ล่ม  ไม่น่าเทรดที่ PE ต่ำกว่า 20(จริงๆเอาลงมาที่ 25 ยังยากเลย)


ปัจจัยเสี่ยงจริงๆน่าจะเป็น"หลุดผัง"  ที่รองลงมาคือตลาด crash  ไม่งั้นไม่น่าขาดทุน


และตัวนี้มันเทรดที่ PE 25-30 มาตลอด  ดังนั้น  สมมติกำไร 3 บาท  ราคาก็ตามนั้น  โอกาส PE ลอยเหนือ 30 ก็พอมีอยู่

คนอยากรวยมองว่าตัวนี้ downside risk ไม่เยอะ  เพราะต่อให้โตน้อยก็ 600m  มองไปที่ราคาวันนี้ PE 23 นิดๆ(600 ก็โตมาเอยะอยุ่ดี)
upside กลางๆที่ 25-80%  มองไปที่ 50% นะ  ตามเป้าปีนี้ 555+


มอง 2.8-3 อ่ะ  PE ให้กันเอง

แต่ถ้าหลุดผังตัวใครตัวมันนะครับ  ยิ่งตลาด crash เนี่ยโดนทุกตัว



p.s. ตัวนี้เศร้ามาก  เพราะก่อนน้ำท่วมกำไรคือ Q2-54 คือ 150m  สมมติมองทั้งปี 600m  ตอนนั้น market cap 3,000-4,000m  เหยดโด้โอรีโอ้ 5 บาทมากๆครับ  มองชัดมาก  แบบมองธรรมดาเลยนะ

p.s.2 RS fully diluted market cap 12,000 และ  WORK market cap 14,000 ก็ลองเลือกดูครับ ^^(แต่คนอยากรวยมีทั้งคู่นะ)

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ปรับเป้าใหม่ สู้ต่อไปบนความบ้าคลั่ง

แอบอู้มานานเกือบ 2 เดือน  มาดูตั้งแต่ต้นปี  

ตลาดปีที่แล้วว่าบ้า  ตลาดปีนี้บ้ากว่า

ผ่านมาไม่ถึง 2 เดือน  ถึงเป้าปี 56 เรียบร้อย รร คนอยากรวยแล้ว  ตัวหลักที่ทำให้ถึงเป้าก็คือตัวที่บอกไปใหม่นั่นแหละ  คือ KTC และ sat TV  วิ่งมาตัวละ 100% ใน 2 เดือน !!!
ตัวเสริมคือลูกกตัญญูอย่าง SCBLIF ก็วิ่งมาเรื่อยๆ  ไม่มากแต่ก็ไม่น้อย  แถมมีปันผลให้พอกินข้าวได้หลายมื้อ
 

แต่จะว่าเก่งก็ไม่ได้หรอก  ตลาดมันดีแปลกๆ  ให้ premium แต่ละอย่างสูงมาก

ที่เหลือแค่เติมเงินเดือนให้ครบไม่ขาดทุน  ก็ครบแล้ว

แต่ครบเป้าหมายแล้ว  คนอยากรวยก็ขยับเป้าหมายมันซะเลย  
เคลียร์ตัวเองเลือกหุ้นใหม่ให้หมด  ตั้งเป้า 50% จากพอร์ทตรงนี้แหละ

คนอยากรวยจะอึมอำๆพอร์ทตัวเองทำไมก็ไม่รู้เนอะ  เอาตัวเลขกงๆไปเลยละกัน  ตอนนี้พอร์ท 2m  เอา 50% คืออีก 1m  น่าจะเติมเงินได้อีกราวๆ 1m(จริงไม่ถึงหรอก  แต่บวกกำไรเงินที่เติมลงไปนิดหน่อย)

สิ้นปีเอา 4m มาเชยชมให้ได้  มันอาจจะเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยสำหรับหลายๆคน  และสำหรับตลาดแบบนี้  แต่มันจะเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของคนอยากรวยเลยนะ  555+


ทำได้ไม่ได้ไม่สำคัญแล้ว  ขอแค่พอร์ทไม่ขาดทุนจากนี้ถือว่าใช้ได้


ตอนนี้กำลังพยายามหา"ตัวใหม่"ที่ upside 50% ตามเป้าที่วางไว้  และรอ KTC แผลงฤทธิ์อีกที  เพราะคิดว่ายังไปต่อได้ในตลาดแบบนี้  ราคาแบบนี้


สำหรับพอร์ทคนอยากรวยตอนนี้  มี KTC + RS + SCBLIF เป็นเรือธง  กินพื้นที่เกือบ 80% เลยทีเดียว  เรียกว่าพวกนี้ขยับไปทางไหน  พอร์ทก็ไปตามนั้น  
"โชคดี"ที่ขยับขึ้นทุกวันๆ

โดยคาดว่า RS น่าจะเริ่มอิ่มๆ(สำหรับปีนี้)แล้ว  SCBLIF น่าจะไปเรื่อยๆ  ส่วน KTC น่าจะยังไปได้เยอะสุด  ก็เลยเก็บไว้ก่อนทั้งหมด  
เว้นแต่จะเจอตัวที่มั่นใจ 50% ชัวๆ  RS และ SCBLIF คงต้องจากกันชั่วคราวก่อน



ถ้ามีตัวน่าสนใจใหม่ๆจะมา update ลงกันในนี้นะครับ  แต่จะไม่ promote ผ่านเวบใดๆทั้งสิ้น

ท่านไหนบังเอิญมาเจอการเดินทางของคนอยากรวย  จะลอกหรืออะไรแล้วแต่การตัดสินใจเลยครับ  เพราะที่ผิดก็มี  บังเอิญถูกก็มี  คิดก่อนเชื่อนะครับ



ยอมเหนื่อยเพิ่มขึ้น  สู้ต่อไปเพื่อเป้าหมาย 4m ครับ !!!!