วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ปรับประมาณการณ์กันหน่อย

จากงบที่ออกมา  คนอยากรวยอาจจะเปลี่ยนความคิดสัก 2 ตัว

ตัวหลักลูกรัก  คอหักลงมา 20% จากยอด  และคาดว่าพรุ่งนี้น่าจะลงอีก  ทำเอาเงินหายไปเป็นแสนๆ TT^TT

1. KTC

ผบห เน้นย้ำมากว่ากำไรโต 2 เท่า  ถึงจะโต 4 เท่าได้แต่ไม่ทำ
กับ ROE ปีนี้น่าจะได้ 10%กว่าๆ  แต่ปีหลังๆอาจจะได้ 20%

มาแกะคำพูดดูนะครับ

โต 2 เท่าแปลว่า 2 เท่าจากปีนี้  ปีนี้กำไรราวๆ 250m หรือ 1บาท  โต 2 เท่าคือ 500m
ไม่โต 4 เท่าคือ 4 x 250m = 1,000m

ซึ่งเท่ากับที่คนอยากรวยเคยอยากได้พอดี

ถ้าดูจริงๆ  บวกรายการต่างๆกลับ Qนึง 300m ยังไม่แปลกเลยครับ

มาดูต่อว่า ROE 10% กว่าๆ  แต่ Equity ตอนนี้คือเกือบ 6,000m  ตีว่า 6,000m
ROE 10-15% ก็จะได้ว่า  กำไร 600-900m

ถ้าแปลตรง Equity 20% ก็คือ 1,200m

และ ผบห แง้มตัวเลข NPL ว่าไม่ต่างจากเดิม  มีหนี้ให้เก็บอีกเพียบ  แค่นี้ก็สบายใจล่ะครับว่างบ"ไม่เหี้ย"ไปทาง surprise แน่นอน

แต่ที่ดูคือกำไรจะไม่ออกมาเท่าที่ควร  หรือแปลว่า"กั๊กกำไร"

ซึ่งคนอยากรวยก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าจะกั๊กเพื่ออะไร  ดูๆทรงแล้วมัน 4บาทเห็นๆ  แต่จะกั๊กเหลือ 2-3 บาท


อย่างไรก็ดีคงรอดูผลงาน Q1 อีกที  เพราะทุนไม่ได้สูงมาก  ลงมาจากวันนี้อีกคงซื้อเพิ่ม  เพราะดูแล้วระยะกลางพอไหว  แต่กำไรคงต้องอาจจะปรับลดลง


2 คือตัวที่เพิ่งลงใหม่(ทำไมมันซวยซ้ำซ้อนจริง)  คือ WORK

งบปีออกมาอึ้งมาก  เพราะต้นทุน  free TV เยอะเหลือเกิน  แถมเงินเดือน ผบห ก็สูงมาก
อันนี้กำลังให้ IR เช็คอยู่

ตอนนี้พอร์ทลงมานิดหน่อย  คิดว่าปีนี้ 3.XXm น่าจะได้  แต่จะ 4 หรือเปล่าต้องมาดูกันครับ  เย้


สู้ต่อไปเว่ย  กำไรตกก็หาตัวใหม่  สู้ๆ

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วิเคราะห์ความผิดพลาดในรอบปี

คนอยากรวยเอามา analysis ละเอียดคร่าวๆเลยดีกว่า  จะได้รู้ว่าซื้อกี่ตัว  ตัวไหนเป็นอย่างไร

จะให้เกรดด้วยนะ  คริคริ


1. BLA : เกรด C
ตัวนี้เป็น"หุ้นตัวแรกในชีวิต"ที่ซื้อ  เพราะคิดว่าประกันชีวิตโตเยอะแน่ๆ  และรู้ว่ามีปัญหา"ชั่วคราว"คือสำรองสูง  และคิดว่าน่าจะคลี่คลายได้ดี
แต่สุดท้ายคิดผิด  เพราะสำรองลดช้ากวาที่คิด  และต้องหดเบี้ย  ทำให้ FP ติดลบ  รู้สึก Q4-55 TP ติดลบด้วยซ้ำ

การฟื้นตัวยังมองเห็นไม่ชัดเจน  โชคดีที่ไม่ขาดทุนครับ(แต่ก็ไม่กำไร)

ต่อให้ราคาขึ้น  ผมก็ไม่คิดว่าผมคิดถูกครับ  เพราะสุดท้ายกำไรออกมาน้อยกว่าที่ผมคิดอีก  ตัวนี้ผมบอกตัวเองเลยว่า"ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้  ก็ขายเหมือนเดิมครับ"  ไม่เสียใจที่ขายครับ

ตัวนี้ผมว่าผมเข้าใจธุรกิจคร่าวๆ  แต่อ่านไม่ขาดครับ

แต่อนาคตอาจจะกลับไปซื้ออีกก็ได้  ถ้าโอกาสเอื้ออำนวยครับ

p.s. ตัวนี้ผมมองว่าโอกาสฟื้นสูงมากครับ 80-90% เลย  แต่"เมื่อไหร่"คือคำถาม



2. SCBLIF : เกรด A
ตัวนี้เป็นหุ้นตัวที่ 2 ในชีวิต  เพราะจะทำ pair trade กับ BLA  ตอนนั้นชอบประกันชีวิตมากๆๆๆๆๆ
เข้าซื้อตอน 500 ขายหมูไปตอน 630 และกลับมาซื้อใหม่ตอน 700

ถ้ารวมปันผลคือหุ้นเด้งตัวนึงในชีวิตผมเลย  ตัวนี้ผมแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น delist แล้วเสี่ยงซื้อไป  เพราะตอนนั้นมันคิด F PE ได้ 10 เอง

เรียกว่าตอนนั้นรู้ไม่เยอะ  แต่ดีที่ซื้อถูกตัว  และถูกเวลา  ที่สำคัญคือผม"คิดถูก"



3. RML : เกรด F
ตัวนี้เป็นตัวที่ผม"ศึกษา"น้อยมาก  ซื้อเพราะบอกเลยว่า bet  สุดท้ายแจก W แล้วราคารูดลงไปเกือบ 30%  จากทุน 1.8 ลงไป 1.4 แล้วดีดกลับนอนที่ 1.5-1.6 นานมาก  พอคิดว่าตัวเองไม่รู้จริงเลยตัดสินใจ"ขาย"

ตัวนี้ผมไม่ได้บอกว่าไม่ดี  แต่เพราะผมไม่เข้าใจ  การให้เกรดผมจะอิงกับความคิด  มุมมองว่ามองถูกหรือเปล่า

ด้วยมุมมองแบบนี้  ขาดทุนแบบนี้  ผมให้ตัวเองมองผิดครับ  และขาดทุนตามระเบียบ

หลังจากตัวนี้ผมสาบานกับตัวเองว่า  จะไม่มีหุ้นที่ไม่อ่านก่อนซื้ออีกแล้ว !!!!


4. SNC : เกรด C
ตัวนี้ผมดูการเติบโตและ ratio ดีมาก  ไปอ่านในห้อง TVI มีคนโพสต์เยอะที่สุด  การเติบโตสูง  ดี  แถม ผบห ซื้อสัตย์  ขยัน  มองกันไป 3 หลักเลยทีเดียว

ก็โอเคครับ  ซื้อแล้วก็ทนดูราคามันขยับ 5-10% กำไรขาดทุนขำๆ  แต่ปันผลพอสมควรเลยทีเดียว

ตัวนี้ผมเข้าใจธุรกิจเพียงผิวเผิน  แต่มุมมองค่อนข้างเข้าใจ

โดยรวมถือว่าเข้าใจว่ามัน"ยังไม่ดี"  เลยชิงขายหนีแบบมั่วๆ

สรุปโชคดีมากที่กำไรราวๆ 10-20%  และปันผลอีก 4%  หลังจากขายงบออกมาไม่ดี  ร่วงไป 20%  อันนี้ฟลุคแบบไม่ inside ครับ



5. HTECH : เกรด D
ตัวนี้ผมดู ratio ดี  ผบห เก่ง  การเติบโตสูง  มาแนวกับ SNC เลยครับ

และเหมือนเดิมคือผมเข้าใจธุรกิจเพียงผิวเผิน  แต่มุมมองค่อนข้างเข้าใจ(ลอกประโยคบนมาเป๊ะๆ)

แต่ตัวนี้ผม discount grade มาเหลือ D เพราะผมยังแอบมั่นใจว่ามันดี  โดยอาศัย ratio ว่ามันเคยทำได้ 0.15 บาท/q มา 2Q ก็เลยคิดว่า Q3 น่าจะทำได้อีก

ตัวนี้ผมขายแบบมีนอกมีในก่อนงบออกครับ  พูดตรงๆก็คือ"งบหลุด"  โดยจากที่ผมกะไว้ 10-15 ตัง  รู้สึกเพื่อนจะบอกมา 7 หรือ 8 ตังนี่แหละครับ


โอ้  เชื่อไว้ก็ไม่เสียหายครับ
งบดีก็แค่หมู  งบเหี้ยนี่ตายครับ  ก็เลยขายและงบก็ออกมาตามที่เพื่อนบอกครับ  ดับอนาถมาก

ผมก็ไม่ได้ยุ่งกับตัวนี้อีกเลยจน Q4 งบออกมาขาดทุนซ้ำอีก = ="

รู้สึกโชคดีครับ  แม้จะใช้ศาสตร์มืดบ้างก็ตาม


6. SIS : เกรด C
ตัวนี้มาแนว ratio ดีอีกแล้วครับ  แต่ไม่ใช่หุ้นโรงงาน

และมาแนวว่าเกิดปัญหา"ชั่วคราว"คือน้ำท่วม

ตัวนี้คนอยากรวยมองธุรกิจ  กิจการ  เข้าใจถูกหมด  แต่ที่ผิดคือ
- ปัญหาที่โดนน้ำท่วมยังแก้ไม่หมดดี
*** - มองภาพใหญ่อุตสาหกรรมผิด  เพราะสินค้า IT พวก PC และ notebook drop ลงมาก ***


พองบออกมาฟาดหน้าว่าคนอยากรวยคิดผิด  และอุตสาหกรรมมันหดตัว  ก็ขายทิ้งราคาเปิดทันที  โชคดีที่มันลงไปต่ออีกมาก
โดยรวมตัวนี้"ขาดทุน"มากที่สุด  เทียบกับขนาดพอร์ทตอนนั้นนน่าจะ 5-6% เลยทีเดียว

แต่โดยรวมคิดว่าตัวเองมองภาพธุรกิจไม่ขาดแค่นั้นเอง

เป็นที่มาที่ทำให้คนอยากรวย"เข้าใจ"ตัวเร่ง  ว่าถ้าจะซื้อหุ้น turn around รอ"ตัวเร่ง"ก่อน  อย่ารีบเข้าไปเดี๋ยวเงินจม
ต้องขอบคุณเหมือนกัน  ถ้าไม่มีตัวนี้  คนอยากรวยคงไม่เข้าใจตัวเร่ง



7. JUBILE : เกรด A
จะเห็นว่า 6 ตัวก่อนหน้า  ถูกจังๆแค่ตัวเดียวคือ SCBLIF นอกนั้นเน่าหมด  ดีที่ตลาดดี  ไม่งั้นขาดทุนอ๊วก(แม้จะไม่กำไรเท่าคนอื่นก็ตาม)  ดังนั้นใครจะลอกตามคนอยากรวยคิดดีๆ  เม่าก็คือเม่า 555+

ตัวนี้คนอยากรวยก็เลือกเองอีก  ถือว่า"คิดถูก"  และโชคดีที่"ตัวเร่ง"มา

ตัวนี้จริงคนอยากรวยมองว่าคือว่าที่ winner stock เลยนะ  คือจริงๆมันดีอย่างนี้มานานแล้ว  และจะดีอย่างนี้ต่อไปอีกนาน  ถ้าไม่เกิด economic crisis ซะก่อน  เพราะเพชรแบบ"ค้าปลีก"ยังไม่มีเจ้าตลาด  และ JUBILE คือผู้นำ  และการโตมาถูกทางมากๆ  แบรนด์แข็งแกร่งเรื่อยๆ

ที่อื่นไม่กล้าพูด  แต่ใน blog ตัวเองคิดว่ามันคือผุ้ชนะในวงการเพชรในอีก 4-5 ปีข้างหน้า  ทุกคนจะรู้จักยี่ห้อแบรนด์ JUBILE  แต่ตอนนี้คนยังคิดว่ามันไม่ใช่ modern trade หรือไม่ก็รอความสำเร็จจริงๆของมันอยู่ !!!

ตัวนี้ทำ century break ตัวแรกในชีวิตโดยถือมาไม่น่าเกิน 2 เดือน  แต่ทำตอนเค้าปั่นกันแตะแปบเดียว  ยังไม่ทันเห็น +100% ก็ลงมาซะก่อน(เสียใจนะเนี่ย)  แถมมีน้อยที่สุดในพอร์ท  กำไรเยอะจริงแต่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

และคนอยากรวยก็แอบซื้อตามทางอีกตอนร่วงๆ  เพราะเค้าทำได้"ดี"ตามที่ควรจะเป็น

โตไม่มากไม่หวือหวา  แต่ 20-30% ต่อปีอีกนาน  PE สูงแต่เทียบกับ modern trade อื่นๆยังจิ๊บๆ

ตัวนี้ลืมเขียนลง blog  555+


8. HMPRO : เกรด B
หุ้น super stock 1 ใน 2 ตัว  ตัวนี้ยอมรับว่ากัดฟันซื้อตอนมันนิ่งๆนี่แหละ
คุยกับอาจารย์อาจารย์ก็บอก  ผมก็เก็บเหมือนกัน(แอบดีใจ)
แถมยังสอนบทเรียนใหม่คือ  "หุ้นพวกนี้มันไม่ floor หรอกครับ  เพราะคนรู้ว่ามันดี  ลงเยอะก็มีคนเก็บ"

ตัวนี้คงไม่ได้ให้คะแนนตัวเองสูงมาก  เพราะหุ้นมันชัดมากตั้งแต่แรกอยู่แล้ว  แค่ไปเก็บตอนไม่มีคนพูดถึง  ตัวนี้โตเรื่อยๆอีกนาน

กำไรพอใช้ได้  แต่มีน้อย  เลยต้องขายหมูไปรับตัวอื่นเดี๋ยวเล่าอีกที

แต่อย่างน้อยก็เข้าใจภาพธุรกิจ modern trade มากขึ้น


9. INTUCH : เกรด B
ตอนนั้นรุ้สึกทนไม่ไหวกับ BLA เลยทยอยขายออก  และ BLA มันเยอะมากๆๆๆๆๆๆ  จนไม่รู้จะหาตัวไหนลง  ก็เลยมาลงที่ safe heaven คือ intuch  เพราะคิดวาเอาไว้ฝากเงิน  อย่างน้อยน่าจะกำไรกว่าฝากธนาคาร  เผลอๆจะได้เงินก้อนใหญ่  อิอิ  เก็บจนมากที่สุดในพอร์ทเพราะไม่รู้จะซื้อตัวไหน

สุดท้ายมันก็นิ่งอยู่ 6 เดือน  ราคาขึ้นๆลงๆอยู่นั่นแหละ

ในที่สุดก็ขายออกจนหมด  กำไรราวๆ 4-5%  ก็ไม่เยอะ  แต่ถือว่ามันก็ทำตามหน้าที่ของมันคือ"รับฝากเงิน"(จริงแอบหวังอย่างอื่นด้วย  แต่ไม่ได้ของแถมก็ไม่เป็นไร)

ตัวนี้สอนคนอยากรวยให้คิด DDM เป็น


10. NINE : เกรด A
ตัวนี้แอบภูมิใจว่ามองออกเป็นลำดับต้นๆ  เพราะแนวโน้ม"ดี"ชัดเจน  แม้กำไรจะยังไม่ออกมาก็ตาม  แต่เสียดายที่ซื้อ"น้อย"ไปนิด

ตอนซื้อคิดว่าเป็นเด้งแหงๆ  อาจจะสักปีนึง  แต่ด้วยโชคหรืออะไรไม่รุ้มันมาเร็วมาก  พอๆกับ JUBILE แต่ไม่มีกำไรรองรับ  ไม่กล้าไล่ครับ  เลยมีอยู่น้อยมากอีกแล้ว

พระเจ้าก็แกล้งต่อด้วยการให้เนชั่นมา"เพิ่มทุน"  แล้วมีการลากไปจนได้ 3 เด้งกว่าๆ

สำหรับคนอยากรวยถือว่ามัน"นอกเกม"แล้ว  เพราะไม่รู้ volume ไม่รู้กราฟ  และมาถึงราคาเป้านานแล้ว  ที่เหลือเมื่อ"ไม่อยู่ในเกม"ของเรา  คนอยากรวยเลยขายทิ้งดื้อๆครับ

ส่วนจะหมูหรือเปล่าไม่รู้  รอลุ้นเอา


11. KTC : เกรด A
ตัวนี้มองช้ากว่าเซียนไปเยอะมาก  ทำให้ต้องมา take risk การทำงานต่อว่าจะดีจริงไหม(เซียนหนีไปหมดแล้ว)  เป็นตัวหลักในพอร์ทและตอนนี้โดนทุบมา 1 อาทิตย์ติดๆลงไป 10%  เรียกว่า"อ๊วกแตก"

แต่ทนถือต่อ  แลั้วตัดสินว่าเป็นอย่างไร  ถ้าได้ตามเป้า  ถือว่าเกรด S เพราะมองขาดทะลุ  แต่ถ้าไม่ได้ตามเป้า  เอาไปเกรด B เพราะก็ยังเทิร์นหลอกๆได้(อาจจะขาดทุนจากตรงนี้นิดหน่อย)

โดยส่วนตัวมองว่าน่าจะไปต่อ  มาลุ้นกัน  ชะตาชีวิตปีนี้คงต้อง"ฝากไว้"กับตัวนี้ละ

และตัวนี้สอนให้คนอยากรวยรู้จักการ follow buy เพราะปกติหุ้นขึ้นก็กลัวและหยุดซื้อทันที(เหมือน JUBILE กับ NINE)  ตัวนี้ทำให้ใช้วิชามารอย่าง MM มากขึ้น


12. RS : เกรด A
หุ้นตัวนี้หลายๆคนมองมันเกือบๆจะดีแล้ว  เพราะติดปัญหา LC pay TV ทำให้อาจจะขาดทุนจากค่าลิขสิทธิ์ลาลีก้าทำให้คนกลัวขาดทุน

แต่คนอยากรวยแอบไปคุยกับ IR และนั่ง valuation เองมั่วๆแล้ว  คิดว่า F PE แค่ 10 นิดๆเอง  กับหุ้นที่อยุ่ในเทรนด์และ"ดี"ขนาดนี้

ทำให้นั่งเก็บตัวนี้เยอะมาก  โดยเสี่ยงเก็บ W เพราะ W มันน่าจะได้ราวๆ 1 เด้ง

เหมือนสวรรค์เห็นใจความพยายาม  พอเก็บคน 20% ก็ลากออนทัวร์ทันที  ในเดือนนิดๆ  ก็ได้ 1 เด้งมาสมใจครับ  แต่อีกใจนึงก็เซ็งเพราะเงินเดือนใหม่ยังไม่ออกมาให้เก็บตัวนี้เพิ่มอีกเลย  ขี้เกียจทำการบ้านอ่ะ


ส่วน WORK ยังไม่ประกาสผลสอบ  รอดูก่อน


โดยสรุปปีที่แล้วซื้อ-ขายหุ้นเยอะมากๆ  12 ตัว  เงินลงพอร์ท 100% ตลอด

เน่าไปจริงๆ 2 ตัว(HTECH,SiS)  ไม่ไปไหน 2 ตัว(INTUCH, SNC) และไปแบบไม่ได้มีส่วนร่วม 2 ตัวคือ RMLและ BLA ถือว่าบัดซบอยู่  โอกาสผิดถูกมัน 50:50 เหมือนมั่วเอาเลย

ตัวที่ประสบความสำเร็จคือ SCBLIF, RS, KTC, NINE และ JUBILE ได้มาเฉลี่ยราวๆ 1 เด้งทุกตัว



สรุป

- การเข้าซื้อมีผิดพลาดตามตัวที่เข้าผิดไป
- การขายมีผิดพลาดครั้งเดียวคือขาย SCBLIF ตอน 630 แล้วไปซื้ออีกทีตอน 700
ที่เหลือแม้จะขายหมู HMPRO แต่เพราะคิดว่า KTC มี upside เยอะกว่า  และคนอยากรวยคิดถูก(ถึงตอนนี้นะ  ต่อไปอาจจะคิดผิด)  ที่เหลือคือ cut loss ทิ้งอย่างมีเหตุผล  เพราะ"คิดผิด"ตั้งแต่ตอนซื้อ  โชคดีที่"ยอมรับความจริง"ได้


ตัวที่"พลาด"ไม่ได้ซื้อ

คนอยากรวยจะไม่เอาตัวที่ไม่ได้อยู่สายตามารวมนะครับ  แต่จะเอาเฉพาะตัวที่อ่านพอสมควรแล้ว  แต่ไม่ซื้อ

- GL เป็นหุ้นเป็นเด้งๆที่พลาดอย่างจังและเสียใจอย่างที่สุด  เพราะอ่านเข้าใจแล้ว  คำนวณออกแล้วว่ากำไรน่าจะ 4-5 อย่างต่ำ  ราคาตอนนั้น 24-25 บาท
แต่ดันไปอ่านบทความนึงบอกว่า "หุ้นการเงินมักจะได้ PE 5-7  เพราะมักมักจะเจ๊งเมื่อเกิด economic crisis หรือไดีจนถึงวันเจ๊ง""
ซึ่งเอาราคามาคิดก็  อืม FV พอดีนี่หว่า  เลยไม่ได้ซื้อ  สรุปไป 80 บาท  แทบบ้าครับ
คนอยากรวยว่าคนเขียนบทความไม่ผิด  คนอยากรวยประเมินตลาดผิดเอง

-AOT หุ้น 1 เด้งอีกตัว  ที่อาจารย์แนะนำมาโดยตรง  ยอมรับว่าอ่านแล้ว  ประเมินกำไรแบบงงๆแล้ว  เข้าใจประเด็นแล้ว  แต่ไม่ได้เล่นเพราะตอนนั้นแอบไม่ชอบ
สรุปก็หมูไป 1 เด้ง  ส่วนอาจารย์ได้มา 500m  โอ้  พอร์ทเราช่างต่างกันจริงๆ

-JAS หุ้นอีกเด้งที่หายไป  เข้าใจภาพธุรกิจ BB แล้ว  มองตอนนั้น F PE 10-12 ไม่รู้ไปกลัวอะไร  ไม่กล้าเข้า  สรุปหมูไปตามระเบียบรัตน์


ส่วนตัวอื่นมองผ่านๆ  อย่างเช่น SIRI อ่านไม่เข้าใจ  SUPER มองว่าไม่ดี  เป็นต้น


โดยภาพรวมถือว่าเฉยๆ  แต่คิดว่าเป็นปีแรกที่เข้าตลาด  มีมั่วเยอะเลยคิดว่าพอใช้ได้

อย่างไรก็ดีปีนี้เป็นปีที่ 2 แล้ว  หน้าใหม่หรือเพิ่งเข้าตลาดคงใช้ไม่ได้อีกแล้ว  ก็ต้องทำให้"ดี"ในฐานะคนเล่นหุ้นให้ได้ครับ  โย่วววววววววววววววว

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

WORK เนี่ยมันก็ WORK นะ

แอบอู้ไปช่วยเป็นแอดมินบางเพจมานาน  ลงแต่บทความที่โน่น(บางอันก็ก็อปของที่นี่ดื้อๆเลยนะ)  รู้สึกว่า blog ตัวเองไม่ค่อยเขียน

เลยกลับมาเขียน blog ตัวเองดีกว่า(ถึงจะไม่มีคนอ่านก็เถอะ)


เพราะเวลาคนอยากรวยกลับมาอ่าน  เหมือนจะเข้าใจเลยว่า  เฮ่ยเรารู้สึกยังงัยตอนนั้น  ตอนนี้เป็นยังงัยบ้าง  เพราะเวลามองไปข้างหน้าตอนนั้น  จะได้เอามาปรับปรุงถูกว่าตรงไหนเราไม่ได้คิด  ตรงนั้นเรามองพลาด

มั่วเอง  เจ็บเอง  อ่านเอง  ก็ดีเหมือนกัน(บ้าเนอะ)


กลับมาที่ sat TV เหมือนเดิม  รู้แต่แมร่งกลุ่มนี้ล่ะตู

คือตอนแรกได้ยินความรุ่งเรืองของกลุ่มนี้เมื่อตอนไปสัมมนาเมื่อเมษาปีที่แล้วมั๊ง

ตอนนั้นคนสัมมนาชี้ตัวที่ดีชัดๆเลยคือ RS กับ WORK(แต่ไม่ได้บอก TP นะครับ  แต่บอกว่าดี)
ก่อนหน้านั้นมันวิ่งมาค่อนข้างไกลครับ RS 3 -> 3.9  WORK 20 -> 28

บอกตรงๆว่าตอนนั้นติดราคาที่มันวิ่งครับ  ยิ่งไปดู WORK มาจาก 12 ก็ยิ่งปลงครับ


ก็เล่นอะไรไปเรื่อยๆตามประสาเม่า  จนมาอ่านอีกทีปลายปีครับ  อ่านก็เกทพอสมควร
เล็งไป 3 ตัวครับ NINE, RS, WORK

เข้า NINE ไปก่อน  เพราะคิดว่า upside เยอะ story ดี ฐานต่ำ  ตอนนั้นไม่มีคนเล่นแบบตอนนี้ครับ  เก็บได้นิดหน่อย  ก็พอดีกว่า  เพราะไม่ชัวร์มาก

ต่อมาจะเข้า WORK ก็ดันวิ่งจาก 30 -> 50 โอ้โห  เจ็บครับเจ็บ  60% หายไปในพริบตา

สรุปเหลือ RS ซึ่งตอนนั้นเห็นว่ายังไม่ค่อยดี  เพราะงบ Q3-Q4 จะต้องรับขาดทุนลาลีก้าจากยังไม่ได้รับ LC pay TV ครับ

แต่พอ Q3 ออกมา RS ทำได้ดีกว่าคาดครับ  ผมเลยนั่งคิด  จนหลังปีใหม่  เริ่มมาเคาะเพราะจะปรับพอร์ท เน้นเก็บ W ครับ  และมีจังหวะนึงแม่ร่วงมาถูกกว่าลูก  ผมเลยเก็บแม่ไป 1 ไม้  แต่เน้น W เพราะจะใส่ gearing ครับ

และเพราะ RS ทุนผมต่ำ(ทั้งตัวแม่และ W)  เขียนไปมันเหมือนโม้  เพราะเขียนอะไรมาแมร่งก็ถูก  เพราะราคามันขึ้นแล้วงัย  ผมเลยไม่เขียนดีกว่า



ดังนั้นเพื่อบากหน้ารับชะตากรรม  ผมว่าผมวิเคราะห์ WORK ดีกว่า  ไม้แรกผมนี่แหละ 52-53 โหดไหมล่ะ  ราคาแถวๆนี้เลย  จะหน้าแตกหรือเปล่ามาดูกัน


WORK เป็น content provider ตัวพ่อครับ  เอาสาระเลยละกัน

1. เดิม WORK ทำ 14 รายการ(+3 รับจ้างผลิต)  ซึ่งใน Q2-54,Q2-55 และ Q3-55 ได้ GP ส่วนนี้ถึง 140-150m
สาเหตุที่หายไปช่วงนึงใน Q3-54 และ Q4-54 เพราะน้ำท่วม  โฆษณาไม่ลงแต่ fixed cost มันสูง  รายได้เลยลดฮวบอาบ
และสาเหตุที่ก่อน Q2-54 GP ไม่สูงเพราะ  หลังจากนั้นได้รายการเพิ่ม 3 รายการ  คนอยากรวยจำไม่ได้นะ  ต้องเช็คใน 56-1

2. sat TV ต้นทุนมาแล้ว  แต่ราคาปรับค่าโฆษณาเริ่มปีหน้า  จาก Q3-55 คือรายได้ 42m ต้นทุน 35m  ดังนั้นในปีหน้าค่าโฆษณาจะขึ้น 66.67% แต่ต้นทุนจะไม่เพิ่มมากเท่าหรืออาจจะไม่เพิ่มเลย

3. ส่วนอื่นๆ  ผมคิดเหมาๆแบบต่ำๆแค่ GP = 50 พอ  จริงๆ show biz ปีหลังๆ work ทำได้ดีมาก  แค่ปีที่แล้วก็ 60m แล้ว  ปีนี้ 3Q ก็ 59m    และมีหนังกับนิตยสารอีก  จริงๆ 50 ผมว่าพอเหลือๆ
บางทีอาจจะ 100m ก้ได้  แต่ผมเอา 50 พอ  และคิดว่าพอ

4. ต้นทุน  ปกติตก Q ละ 100m-(คือไม่ถึง 100 ดี  Q4 อาจจะบวมแต่ไม่มาก)  ดังนั้นปีหน้าผมให้ SG&A 500m เลย  ตก Q ละ 125 ขึ้นให้ 25% เลย(ปี 53 SG&A 400m)

5. หนี้ไม่มี  ภาษี 20%


ขั้นแรกเลยคือคนอยากรวยมองว่า GP ของ free TV Q ละราวๆ 250 น่าได้  "ถ้าไม่หลุดผัง"  ดังนั้นปีละ 1,000m ไม่น่าเกลียดเกินไป(รอดู Q4 คอนเฟิร์มอีกทีนะครับ)

 ขั้นต่อมาคือปรับราคาขึ้นครึ่งนึงคือ 7 รายการ  รายการละ 7-20%  เฉลี่ยตาม ait time คือ 5.7%  ซึ่งจริงๆแล้ว  ถ้าค่าโฆษณาขึ้น  ต้นทุนไม่ควรขึ้นตามหรือขึ้นตามก็ไม่เท่า

สมมติขึ้นเท่ากันจะได้เพิ่มมา 34m
ถ้าไม่ขึ้นตามจะได้เพิ่มมา 90m

ชอบตัวไหนหยิบไปใช้ได้ตามสะดวก  สมมติมองกลางๆก็ 50 อ่ะ

แต่ยังมีรายการใหม่อีก 3 รายการ  มีรายการนึงค่าโฆษณาต่ำมาก  ดังนั้นคิด 2 รายการพอ discountๆ  ก็ air time จะเพิ่มมาราวๆ 12%  ซึ่งเหมือนเดิมครับ  ต้นทุนไม่ควรเพิ่มตามมาก  ซึ่งถ้า track record ดีจะพบว่าช่วงเปิดรายการใหม่  ต้นทุนเพิ่มน้อยมาก

สมมติถ้าขึ้นเท่ากัน  จะได้เงินเพิ่มมา 72m
สมมติถ้าไม่ขึ้นตาม(จริงๆน่าจะขึ้นนิดหน่อย) จะได้ 192m  ซึ่งน่าจะเยอะไป  ลงมาเหลือ 150 พอ

มองกลางๆอีกคือ 100  อ่ะ

ดังนั้น GP free TV อยู่ที่ 1,150m (ถ้ามองดีก็ 1,240)  หรือ conserv น่าจะราวๆ 1,100m



ต่อมาที่ sat TV ซึ่งคนอยากรวยดูจาก Q3 ต้นทุนน่าจะเท่าๆเดิม คือ 35x4  แต่เพิ่มให้ 200 เลยอ่ะ  รายได้น่าจะ Q ละ 50m  ปรับ 67.7% ก็ปัดลงมาที่ 300m

ดังนั้น sat TV น่าจะ GP 100m


อื่นๆ 50m


รายได้ 1,150 + 100 + 50 = 1,300
รายจ่าย 500 m

EBIT 800m หักภาษี 20% เหลือ 640m  เทียบราคาวันศุกร์ที่ 54 บาทก็ PE 23  ซึ่งมอง F PE ถือว่าแพงครับ  แต่จะเห็นว่าคนอยากรวยตัดไปเยอะมาก  ตัดจนแหว่งๆๆๆๆๆ


มามองอีกมุมนึงว่า  กำไร NPM มันไตรมาสละ 140m มองจาก Q3  แปลว่าทั้งปี 560m พอได้ในฐานภาษี 23% และไม่หลุดผัง

story ที่มาแน่ๆคือปรับค่าโฆษณา free TV และ sat TV, ได้ 3 รายการใหม่, ภาษีปรับลงเหลือ 20%
ไม่นับอันที่ไม่ชัดเจนอย่างเปิดช่องใหม่หรือความสนใจจะประมูล digital TV

ซึ่งด้วย story ที่ชัดเจนไปแล้ว  คนอยากรวยมองไปที่ 700m++ นะ  ถ้าฟลุคอาจจะแตะๆ 800 หรือเฉียดๆได้
ไหนจะเปิดช่องใหม่อีกกี่ช่องก็ไม่รู้หว่า

สรุปมอง EPS 3บวกลบๆ  PE ตอนนี้ก็ไม่ถึง 17 ถือว่าโอเคนะ


ตัวนี้คนอยากรวยว่าควรจะให้ PE สูงนะ  เพราะมันเป็น content ซะเกือบหมด  ที่มีโอกาสโตแค่"มาก"หรือ"น้อย"เท่านั้นเอง

และยังอยู่ในเทรนด์ที่น่าจับตา  สำหรับคนอยากรวยคนอยากรวยว่าถ้าตลาดไม่ล่ม  ไม่น่าเทรดที่ PE ต่ำกว่า 20(จริงๆเอาลงมาที่ 25 ยังยากเลย)


ปัจจัยเสี่ยงจริงๆน่าจะเป็น"หลุดผัง"  ที่รองลงมาคือตลาด crash  ไม่งั้นไม่น่าขาดทุน


และตัวนี้มันเทรดที่ PE 25-30 มาตลอด  ดังนั้น  สมมติกำไร 3 บาท  ราคาก็ตามนั้น  โอกาส PE ลอยเหนือ 30 ก็พอมีอยู่

คนอยากรวยมองว่าตัวนี้ downside risk ไม่เยอะ  เพราะต่อให้โตน้อยก็ 600m  มองไปที่ราคาวันนี้ PE 23 นิดๆ(600 ก็โตมาเอยะอยุ่ดี)
upside กลางๆที่ 25-80%  มองไปที่ 50% นะ  ตามเป้าปีนี้ 555+


มอง 2.8-3 อ่ะ  PE ให้กันเอง

แต่ถ้าหลุดผังตัวใครตัวมันนะครับ  ยิ่งตลาด crash เนี่ยโดนทุกตัว



p.s. ตัวนี้เศร้ามาก  เพราะก่อนน้ำท่วมกำไรคือ Q2-54 คือ 150m  สมมติมองทั้งปี 600m  ตอนนั้น market cap 3,000-4,000m  เหยดโด้โอรีโอ้ 5 บาทมากๆครับ  มองชัดมาก  แบบมองธรรมดาเลยนะ

p.s.2 RS fully diluted market cap 12,000 และ  WORK market cap 14,000 ก็ลองเลือกดูครับ ^^(แต่คนอยากรวยมีทั้งคู่นะ)

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ปรับเป้าใหม่ สู้ต่อไปบนความบ้าคลั่ง

แอบอู้มานานเกือบ 2 เดือน  มาดูตั้งแต่ต้นปี  

ตลาดปีที่แล้วว่าบ้า  ตลาดปีนี้บ้ากว่า

ผ่านมาไม่ถึง 2 เดือน  ถึงเป้าปี 56 เรียบร้อย รร คนอยากรวยแล้ว  ตัวหลักที่ทำให้ถึงเป้าก็คือตัวที่บอกไปใหม่นั่นแหละ  คือ KTC และ sat TV  วิ่งมาตัวละ 100% ใน 2 เดือน !!!
ตัวเสริมคือลูกกตัญญูอย่าง SCBLIF ก็วิ่งมาเรื่อยๆ  ไม่มากแต่ก็ไม่น้อย  แถมมีปันผลให้พอกินข้าวได้หลายมื้อ
 

แต่จะว่าเก่งก็ไม่ได้หรอก  ตลาดมันดีแปลกๆ  ให้ premium แต่ละอย่างสูงมาก

ที่เหลือแค่เติมเงินเดือนให้ครบไม่ขาดทุน  ก็ครบแล้ว

แต่ครบเป้าหมายแล้ว  คนอยากรวยก็ขยับเป้าหมายมันซะเลย  
เคลียร์ตัวเองเลือกหุ้นใหม่ให้หมด  ตั้งเป้า 50% จากพอร์ทตรงนี้แหละ

คนอยากรวยจะอึมอำๆพอร์ทตัวเองทำไมก็ไม่รู้เนอะ  เอาตัวเลขกงๆไปเลยละกัน  ตอนนี้พอร์ท 2m  เอา 50% คืออีก 1m  น่าจะเติมเงินได้อีกราวๆ 1m(จริงไม่ถึงหรอก  แต่บวกกำไรเงินที่เติมลงไปนิดหน่อย)

สิ้นปีเอา 4m มาเชยชมให้ได้  มันอาจจะเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยสำหรับหลายๆคน  และสำหรับตลาดแบบนี้  แต่มันจะเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของคนอยากรวยเลยนะ  555+


ทำได้ไม่ได้ไม่สำคัญแล้ว  ขอแค่พอร์ทไม่ขาดทุนจากนี้ถือว่าใช้ได้


ตอนนี้กำลังพยายามหา"ตัวใหม่"ที่ upside 50% ตามเป้าที่วางไว้  และรอ KTC แผลงฤทธิ์อีกที  เพราะคิดว่ายังไปต่อได้ในตลาดแบบนี้  ราคาแบบนี้


สำหรับพอร์ทคนอยากรวยตอนนี้  มี KTC + RS + SCBLIF เป็นเรือธง  กินพื้นที่เกือบ 80% เลยทีเดียว  เรียกว่าพวกนี้ขยับไปทางไหน  พอร์ทก็ไปตามนั้น  
"โชคดี"ที่ขยับขึ้นทุกวันๆ

โดยคาดว่า RS น่าจะเริ่มอิ่มๆ(สำหรับปีนี้)แล้ว  SCBLIF น่าจะไปเรื่อยๆ  ส่วน KTC น่าจะยังไปได้เยอะสุด  ก็เลยเก็บไว้ก่อนทั้งหมด  
เว้นแต่จะเจอตัวที่มั่นใจ 50% ชัวๆ  RS และ SCBLIF คงต้องจากกันชั่วคราวก่อน



ถ้ามีตัวน่าสนใจใหม่ๆจะมา update ลงกันในนี้นะครับ  แต่จะไม่ promote ผ่านเวบใดๆทั้งสิ้น

ท่านไหนบังเอิญมาเจอการเดินทางของคนอยากรวย  จะลอกหรืออะไรแล้วแต่การตัดสินใจเลยครับ  เพราะที่ผิดก็มี  บังเอิญถูกก็มี  คิดก่อนเชื่อนะครับ



ยอมเหนื่อยเพิ่มขึ้น  สู้ต่อไปเพื่อเป้าหมาย 4m ครับ !!!!

วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สรุปการเดินทางของคนอยากรวยปีแรก

จริงๆยังไม่ครบปีนะครับ  แต่ตัดสิ้นปีไปเลย


โดยรวมการลงทุนปีแรกอยู่ในเกรด "ใช้ได้" ครับ

วัดแล้วเติมเงินลงไปเรื่อยๆเฉลี่ยเท่ากันทุกเดือน(เริ่มจาก 0)  จริงๆผลตอบแทนควรจะคูณ 2 เพราะเฉลี่ยเอา  อีกอย่าง 3 เดือนแรกยังไม่ได้เล่น


วัดจริงๆกำไรเกือบ 20% หรือเฉลี่ยเพิ่ม 2 เท่าจะได้ราวๆ 35% อ่ะ  มั่วตัวเลขเอานะครับ  ไม่ได้วัดเป๊ะๆ
ก็ถือว่า"โชคดี"มากกว่า  ในภาวะตลาดกระทิงแบบนี้แล้วหุ้นเราได้อานิสงห์ไปด้วย


ย้ำอีกทีว่า "เราต้องรู้นะครับว่าเราเก่งหรือโชคดี"
บางคนเก่ง  บางคนแค่โชคดีเหมือนยืนถูกที่ถูกเวลาแล้วบอลมาเข้าทางพอดี  กำไรง่ายกันเป็นเด้งๆจาก ipo บ้าง หุ้นปั่นบ้าง



วิเคราะห์ความสามารถของคนอยากรวยก็อ่านงบเป็นมากขึ้นนิดหน่อย  คือพอดูรู้เรื่อง  รู้จักอุตสาหกรรมมาอีกพอสมควร  แต่ที่ไม่รู้ก็มีอีกเพียบ
ความสามารถในการ valuation ยังไม่ต่างจากเดิมมากนัก  แต่การ assumption เอาอย่างอื่นมาใส่น่าจะทำได้ดีขึ้น



เป้าหมายปีหน้า

1. ปีหน้าตั้งเป้าเวอร์ๆไปก่อนเลย 50%  เติมเงินอีกเท่าๆกับปีนี้
ดังนั้นพอร์ทเดิมจะได้เป็น 150%  เติมเงินอีก 100% + ผลตอบแทนใหม่ 25%
รวมๆกันเป็น 275%  คือเงินตอนปลายปีหน้า

2. ไม่ได้ 50%  เอา 20-30% ก็สูงแล้ว  แต่ฝันให้ไกลไปให้ถึงกันเลย

3. worst case ต้องไม่ติดลบ  ถ้าจะติดลบต้องรู้ว่าปีอื่นจะดีขึ้น(อย่างมากๆ)

4. ต้องรู้อุตสาหกรรมมากขึ้น  ทำ valuation ละเอียดขึ้น  แกะงบดีขึ้น
ตั้งเป้าว่าจะ valuation ใหม่  สัปดาห์ละ 1 ตัว(สู้ๆ)

5. จะลดตัวที่ถือลง  ถือแค่ 3-4 ตัวพอ  เป็นไปได้อยากถือตัวเดียวเหมือนกัน  แต่ไม่มั่นใจพอ  คิดว่าสักวันคงจะมีวันนั้น



สำหรับเป้าหมายเรื่องเงินก็คงแค่นี้ก่อน

เวลาที่เหลือคงเอาไปทำอะไรมากขึ้นนอกจากเล่นเกม(อิอิ)


เส้นทางสู่ financial freedom มันยังอีกยาวไกล  ถ้าเดินเรื่อยๆต่อไปมันคงจะถึง



เตือนใจด้วยคำคมๆก่อนว่า

1. โลกนี้มันไม่ยุติธรรมหรอก  ยอมรับมันซะเถอะ #บิล เกตต์#
แต่จะยอมรับแล้วกลับไปทำงาน  หรือยอมรับแล้วลุกขึ้นสู้ก็แล้วแต่นะครับ


2. ถ้าคุณเกิดมาไม่รวย  นั่นไม่ใช่ความผิดคุณ  แต่คนตายทั้งๆที่ยังจน  นั่นล่ะความผิดคุณเต็มๆ #บิล เกตต์#
อันนี้  ตรงไปตรงมา

3. คนเราทุกคนไม่ได้เกิดมาเก่งการลงทุนทุกคน  แต่เราทุกคนควรลงทุน "ปีเตอร์  ลินซ์#

คนอยากรวยทิ้งคำ HNY ยาวๆว่า  เงินมันไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต  แต่ถ้าจัดอันดับ  ยอมรับซะเถอะครับว่ามันสำคัญอันดับต้นๆ

การที่เรามีเงิน  เราสามารถซื้อของได้มากมายบนโลกใบนี้  ถ้าพูดแบบไม่เกรงใจคือเกือบทุกอย่างบนโลกนั่นแหละ
ถ้าเรามีเงินพอ  เราสามารถขับรถ super car ที่ดีที่สุดในโลกได้  เราสามารถอยู่บนตึกสุงๆดีได้  ดูทีวีจอใหญ่ๆได้  พูดยังงี้ดูเหี้ยไหมครับ

เอาใหม่ๆ
การที่เรามีเงินเยอะๆ  เราสามารถเลือกทำงานเฉพาะที่เรารักได้(หรือไม่ทำเลยก็ได้)  เราสามารถใช้เวลากับคนที่เรารักหรือครอบครัว  ให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เราสามารถไปท่องเที่ยว  หรือไปในที่ต่างๆที่เราอยากไปได้

สำหรับคนอยากรวย  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความฝัน  คนอยากรวยบอกได้เลยว่า  เงินมันสามารถปกป้องความฝันของเราได้
เงินมันสามารถทำให้เราไปเรียนคณะดุริยางคศิลป์  โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าไม่มีจะกินหรือไม่มีงานทำได้  เงินมันสามารถทำให้ลูกของเรา  ไปเรียนศิลปกรรม  โดยไม่ต้องกังวลถึงอนาคต


และสิ่งที่สำคัญรองลงมาของคนอยากรวยคือความสุข  เงินก็สามารถสร้างความสุขให้ได้เช่นกัน
เงินสามารถทำให้เราอยู่กับสิ่งที่เราชอบได้ทั้งวัน  เช่นเล่นเกมทั้งวัน  เล่นดนตรีทั้งวัน  เที่ยวทั้งวัน  เดินป่าทั้งวัน  เพราะถ้าไม่มีเงินเนี่ย  โดนไล่ออกหรืออดตายแน่ๆ
เงินสามารถบันดาลสิ่งของที่เราต้องการให้ได้  ไม่ว่าจะเป็นแหวนเพชร  คอนโดหรู  ของกินดี  เสื้อผ้าสวยๆ



คนอยากรวยมองว่าเงินมันไม่ใช่ปิศาจร้ายเสมอไป  ขึ้นอยู่กับวิธีใช้มากกว่า

น่าแปลกใจที่คนมากมายไม่สนใจเรื่องเงิน  แต่เค้ากลับทิ้งหลายๆอย่าง  ทั้งความฝัน  ความสุข  หรือครอบครัว  มาทำงานเพื่อเงิน(ไหนบอกไม่สนใจเงินงัยวะ)


น่าแปลกไปอีก  ที่เค้าทำทุกอย่างเพื่อเงิน  แต่พอถึงเรื่องเงินๆทองๆ  เค้ากลับยกให้คนอื่นจัดการอย่างไม่คิด(คิดน้อยกว่าซื้อผ้าอ้อมด้วยซ้ำ)




คนอยากรวยแค่บอกว่า  สนใจเรื่องเงินกันเถอะครับ
สนใจมากกว่าดอกเบี้ยธนาคารนั่น 2.4396% ส่วนที่โน่น 2.45960% ได้แล้วครับ

เจียดเวลาส่วนนึงมาศึกษากันเถอะครับ  มากน้อยแล้วแต่ความสนใจ



คำพูดแรงๆกระแทกใจคือ  "คุณไม่ศึกษาก็ได้  คุณก็นั่งทำงานจนเกษียณไป"
สั้นๆ  ง่ายๆ  ตรงๆ  ครับ


ถ้ารู้สึกว่าโลกอื่นมันไม่ยุติธรรม  เพราะคนขี้เกียจได้โบนัส  คนไม่เก่งได้เรียนต่อ  บลาๆๆๆๆๆ
แต่โลกการเงิน  เงินวางอยู่ตรงหน้าแล้วครับ  เก่งพอมากวาดเอาไปได้เลย

ไม่มียุคไหนนะครับ  ที่เงินจะให้รางวัลคนที่เข้าใจมันได้มากขนาดนี้  แต่ก็จะลงโทษคนที่ไม่เข้าใจได้มากขนาดนี้เช่นกัน




ดัชนีหุ้นขึ้นมา 400 -> 1,400 จุด  ที่ดินราคาขึ้นกัน 2-5 เท่า  ราคาคาคอนโดพุ่งเป็นเท่าตัว
แต่ก็ยังมีครฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ย 0.75%



ลองเอาไปคิดดูนะครับ

โชคดีร่ำรวยครับ

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เมื่อคนอยากรวยสนใจทีวีดาวเทียม megatrand ที่ชัดโคตรๆ


ทีวีดาวเทียมหรือ satellite TV หรือย่อไปให้สั้นๆอีกก็คือ Sat TV  ก็คือช่องทางเลือกนอกจาก free TV นี่แหละครับ  เช่น  ช่องการ์ตูน  ช่องป้าเช็ง  ช่องฟุตบอล  ช่องหนัง ฯลฯ


ซึ่งมันก็สถิตย์กับเมืองไทยมานานแล้วครับ  แล้วมันน่าสนใจตรงไหนล่ะ ???

คนอยากรวยขอเกริ่นประวัตินิดนึงนะครับ

ย้อนไปสมัยอโยธยาศรีรามเทพ(เวอร์ไป)  ณ  ขณะนั้นการโฆษณาผ่านฟรีทีวีเป็นที่นิยมมาก  เพราะทุกบ้านมีกันหมด  หรือมี 100%  ใครๆก็อยากลงโฆษณาเพราะลงทีนึง  คนเห็นทั่วประเทศ  ทำให้งบโฆษณาสูงมาก  และมีแนวโน้มเพิ่มมาเรื่อยๆ  ณ ตอนนี้ค่าโฆษณาของรายการเทพๆ  ช่วงเวลาเทพๆ  ไล่ไปถึงนาทีละ 400,000 บาทกันแล้ว(นาทีเดียวนะครับ)  และเม็ดเงินรวมทุกช่องตอนนี้สูงถึง 60,000m ซึ่งเยอะเหี้ยๆ(เพราะมันมี free tv กี่ช่องกันล่ะ  และแต่ละช่องก็กินกันไส้ปลิ้นเลยน่ะครับ)  อย่างช่อง 3 ช่องเดียวมีมูลค่าการตลาดถึง 100,000m  เยอะแบบเหี้ยๆเลยล่ะครับ


แต่ในอีกด้านหนึ่ง sat tv และ cable tv ก็ค่อยๆโตมาอย่างช้าๆ  ประมาณว่าอยู่กินกันไปวันๆ  จนคนเริ่มติดขึ้นเยอะเรื่อยๆๆๆๆ  จาก 10%->50%  ไอ้ตรง 50% นี่แหละครับ  เป็นจุดที่เรียกว่า critical mass
แปลว่าอะไรดีล่ะ  เหมือนว่ามีเพื่อนในกลุ่ม 10 คน  ใช้ iphone 1 คนก็เฉยๆ  มือถือบ้าอะไรแพงจัง  ไป นกป ได้ตั้ง 10 ครั้ง  พอเพื่อนเริ่มใช้ 2 คน 3 คน 4 คน  ก็เริ่มลังเลแล้วใช่ไหมครับ  พอมีสัก 5-6 คน  เราก็ทนการเร้าของสังคมไม่ไหว  ต้องไปซื้อกันมาบ้าง  ไอ้ตอนที่ 1->5 จะกินเวลานาน  เพราะไม่เป็นที่นิยม  ใครก็ไม่ใช้  แต่ไอ้ตอน 5->10 จะกินเวลาไม่นานครับ  เพราะมันนิยมแล้ว  นั่นแหละครับ  critical mass


และก็มีพระเอกชื่อ AGB Neilson หรือพี่เนล  ซึ่งเป็นคนสำรวจ rating ได้มาทำให้ critical mass สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น  ก็ได้ลงมาสำรวจ rating ให้ละเอียดขึ้น  ถ้าพูดวิชาการหน่อยคือเพิ่ม sample space เพื่อลด margin of error นั่นเอง

ซึ่งพี่เนลนี้เป็นคนน่าเชื่อถือมาก  ระดับโลกเลยล่ะครับ  ดังนั้นถ้ากลุ่มตัวอย่างใหญ่พอ  เค้าบอกว่าช่องนี้ฮิต  ใครๆก็เชื่อครับ  ทีนี้พอพี่เนลเริ่มทำให้กลุ่ม sat TV มีความหวัง  กลุ่ม sat TV ก็เลยลุกฮือขึ้นมาบอกว่า  "เห็นไหม !!!  คนดูก็เยอะ  แต่ทำไมค่าโฆษณาต่ำจัง  ขอขึ้นหน่อยดิ"  ไอ้ครั้นรายเก่าๆจะไม่ให้ขึ้นก็ไม่กลัวครับ  เพราะของมันดีจริง  เค้าไม่เอาคนอื่นก็เอามาลง


และค่าโฆษณามันต่ำแค่ไหนก็ต้องบอกเลยว่า  ช่วงเทพๆที่บอกว่านาทีละ 400,000 ของช่อง 3 หรือเรียกว่า super-prime นั้น  ของ sat tv ตอนนี้แค่ประมาณ 20,000  ต่างกัน 20 เท่าครับ  ราคาเฉลี่ยช่อง 3 ราวๆ 100,000 ของ sat TV ประมาณ 5,000(ของช่องเกรดบนๆนะครับ)  ราคาต่างกันแบบมหาศาล

แต่มันก็ต้องขึ้นกับคนดูด้วย  ไปลงโฆษณาถูกๆแต่ไม่มีคนดู  agency ก็ไม่อยากลงจริงไหมครับ ???
ณ Q4 พี่เนลบอกว่า  70% ครัวเรือนไทย  ติด sat TV แล้ว(แต่ของอะไรว่ากันอีกทีนะ)


ตรงนี้จะมีค่าๆนึง  เรียกว่า cost per rating ซึ่งเอาราคาที่จ่าย  หารด้วย eye ball ครับ  เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มค่า
สมมติแรงเงามีคนดู 100,000 คน  ราคา 400,000 บาท  หารกันก็ได้ 4 ครับ  แต่น้องเมีย(ชื่อละครนะครับ  ไม่ใช่น้องของเมียจริงๆ)  คนดู 30,000 คน  ราคา 20,000 บาท  หารออกมาจะได้ 0.67 ครับ  ก็ลองแปลความหมายดูนะครับว่าอันไหนคุ้มค่ากว่ากัน


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  มันก็ต้องค่อยๆขึ้นนะครับ  ไม่ใช่ขึ้นกันตูมเดียวจาก 10,000 เป็น 50,000  ไม่งั้น agency โฆษณาไม่เล่นด้วยนะครับ  เพราะงบมันมีจำกัด  แต่คำว่าค่อยๆของพี่แกก็ปีละ 30-100% แล้วแต่ช่องล่ะครับ



มีสถิติที่น่าสนใจคือ
1. จำนวนครัวเรือนที่ติดจานดาวเทียมน่าจะเป็น 100% ในเร็วนี้  จากคุณภาพ content และกระแสครับ(น่าจะ 3-5 ปี)
2. ผู้ชนะในธุรกิจ sat TV จะมีกำไรโต 5-20 เท่า(ตอน mature)


ถ้าเรา asuume ว่ากำไรขึ้น 10 เท่า = ราคาหุ้นขึ้น 10 เท่า  น่าสนใจรึยังครับ ???
 และถ้าเราเทียบ 20,000 กับ 400,000 เราก็เห็นว่ามี gap ให้เล่นได้อีกเยอะมาก  คนอยากรวยก็ไม่รู้ว่าแม้ทีวีดาวเทียมจะติด 100%  แต่ราคาค่าโฆษณาจะขึ้นไปได้ถึงไหน  คงไม่เท่ากันแน่ๆ  แต่เอาแค่นาทีละ 100,000(สัก 1/4)  ก็รวยกันไส้ไหลแล้วล่ะครับ


ทำไมราคาขึ้นแค่ 5 เท่าต้องรวยกันไส้ไหล  เพราะว่าต้นทุนการผลิตมันไม่ขึ้นด้วยน่ะสิครับ  จริงๆต้องบอกว่าขึ้นไม่มากเท่าดีกว่า


ในตอนแรก(คือตอนนี้)อาจจะต้องปรับปรุงรายการเยอะๆหน่อย  เพราะ sat TV rerun เยอะมาก
อันนี้เข้าใจไม่ยาก  เพราะเงินน้อย  จะไปเสียตังทำให้มันดีทำไม  ก็รีรันไปสิ(วะ)

แต่พอมาถึงวันนึงที่เงินมันเยอะ  ถ้าเรามัวแต่รีรัน  ช่องอื่นที่ไม่รีรันเค้าต้องทำได้ดีกว่า  และเอาเงินก้อนใหญ่ๆนั้นไปแน่นอน  ดังนั้นตอนนี้ก็เพิ่มงบลงทุนกันวุ่นวายมากทุกบริษัท


ในอนาคตอันใกล้คนอยากรวยเชื่อว่าช่อง sat TV หลายๆช่องจะไม่รีรัน  และมีคุณภาพไม่ต่างกับฟรีทีวี  เพราะในเมื่อคุณทำกำไรให้ช่องตัวเองได้  คุณก็ทำสิ  จะมามัวทำให้ช่อง 3 รวยทำไม(จริงไหมครับ)

ตอนนี้ยักษ์ใหญ่อย่าง work(point)ก็หันมาทำแล้วครับ  rs, grammy ก็ทำ  แล้วคาดหวังได้เลยว่าเค้าคงไม่มาทำแค่ไม่กี่รายการ  แต่เค้าต้องทำช่องตัวเองให้มันยิ่งใหญ่ครับ



โม้มากไป  ลืมบอกเลยว่า  ผู้เล่นใน sat TV มี 2 อย่างคือ content provider กับ platform provider
แปลเป็นไทยว่าทำรายการ  กับทำกล่องขาย

ณ ตอนนี้ sat TV เพิ่งตั้งไข่  content ดีๆเค้าไม่ขายนะครับ  แจกฟรีกันเลย  แจกไปหลายๆกล่องนั่นแหละ  ให้คนดูดูเยอะที่สุด  เพื่อจะได้ rating สูงที่สุด(แต่อนาคตไม่แน่นะครับ)

ส่วน platform provider หรือพวกขายกล่อง  ก็ไม่เก็บตังนะครับ  เอา content มาลงฟรีๆได้เลย  เพราะอยากขายกล่อง  ยิ่งกล่องตัวเองมีรายการดีๆเท่าไหร่  คนก็อยากมาซื้อกล่องนั้นมากเท่านั้นครับ


ผู้ชนะในระยะสั้น(3-5ปี)  คือคนทำรายการ(หรือ content provider)ครับ  เหตุผลตรงไปตรงมา  รายการไหนดีค่าโฆษณาอ๊วกแตกครับ

แต่ผุ้ชนะในระยะยาวคือ platform provider ครับ(5-10ปี)  เพราะกล่องไหนที่รวมผู้ชนะในข้อแรกไว้  ก็คือผู้ชนะระยะยาวครับ

แต่สำหรับคนอยากรวย  คนอยากรวยว่า  เราเอาแค่ content provider ก่อนก็พอครับ  รออีก 5 ปี  จะรอกันไหวหรอครับ  บางคนรอไตรมาสเดียวนี่แทบตายแล้วนะครับ



สำหรับ content provider เราก็ต้องมองหาผู้ชนะครับ  เพราะตอนนี้เค้ารุ้กันหมดแล้วว่า sat TV เป็นแหล่งเงินแหล่งใหม่  ใครๆก็อยากเข้ามาครับ  แต่กฏ 20:80 ยังใช้ได้ดีเสมอ  คือพวกรวยไส้ไหล  คือพวก 20% บนๆ  ที่จะได้เงิน 80% ไปใช้ครับ


ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ใครจะเป็นผู้ชนะล่ะครับ  เพราะมันไม่ใช่เหมือนค้าปลีก  รายการนี้คุณทำดี  รายการหน้าคนดูเค้าไม่ได้มาดูเพราะคุณผลิตเหมือนเลือกซื้อเพชรนะครับ  ดังนั้นแบรนด์แทบไม่มีผลเลย
เพราะหลายๆคนดุรายการนั้นเพราะชอบดู  เพราะมันดัง  เพราะเพื่อนดู  มีน้อยคนมากที่ดูเพราะว่าเป็นของ workpoint จริงไหมครับ

แปลว่าอะไร  แปลว่าคุณต้องเชื่อมั่นในผู้ผลิตรายการว่าเค้าจะสร้าง content ที่ดี  แย่ง rating มาได้
มันไม่ใช่แค่การ copy model ความสำเร็จอย่าง CPALL หรือ HMPRO ที่ปั๊มไปเรื่อยๆเพราะนำแล้วนะครับ  วันดีคืนดีถ้าช่อง 7 ทำอะไรสักอย่างได้  ก็พลิกขั้วกันได้ง่ายๆ  เพราะคนดูทีวี  ดูเพราะชอบดู  ไม่ได้ดูเพราะเป็นช่อง 3 หรือช่อง 7 เหมือนกับการเข้า CPN มากกว่าห้างท้องถิ่นนะครับ



จริงๆผมไม่อยากเจาะจงชัดเจนว่าตัวไหน  แต่ sat TV กำลังจะมาอย่างแน่นอน  ผมแนะนำให้มีประดับพอร์ทเลยครับ  เลือกถูกตัว  รวยอ๊วกกันแหงๆ  ผมว่าถูกตัวมีเป็นเด้ง  เพราะเทรนมันยังอีกยาว  ต้องรีบเก็บกันแล้วล่ะครับ  เพราะพวกเซียนๆเค้ายัดเข้าพอร์ทนั่งยิ้มตั้งแต่ต้นปีแล้ว  มาตอนนี้ยังไม่สายเกินไป  เพราะรถไฟเพิ่งจะเริ่ม  ใครกลัวราคาสูงผมว่ามีตกรถขบวนใหญ่ครับ




เลือกตัวดีๆนะครับ  เลือกผู้ชนะ  เลือก dominant player ที่สำคัญดูด้วยว่าเค้าทำ sat TV อยู่เท่าไหร่  ธุรกิจอื่นเท่าไหร่  และแนวโน้มจะเป็นอย่างไร
บางรายทำ free TV ด้วย sat TV ด้วย  บางรายทำ sat TV น้อย  ทำเพลงเยอะ  บางรายทำแต่ sat TV ก็มี

อ่อ  เตือนภัยอีกอย่างคือ free TV กับ sat TV เป็นศัตรูกันชัดเจน  ถ้า free TV หมั่นไส้  บางรายการหลุดผังได้ง่ายๆเลยนะครับ  ถามข่าวข้นกับชิงร้อยชิงล้านได้
ผมว่าวันนึงที่ sat TV แข็งข้อมากๆ  คงต้องอัปเปหิกันยกใหญ่


แต่อย่างว่าครับ  ทางธุรกิจไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร  ทำเงินได้ก็เป็นเพื่อนกันหมด
อย่างช่อง 7 ไล่ชิงร้อยชิงล้านออกมา(น่าจะเพราะ work ไปเอาเบอร์ช่อง 7 ใน PSI มาทำให้ช่อง 7 บางคนไม่พอใจ)
ช่อง 3 เห็นว่าทำเงินได้  แม้จะเป็นคู่แข่งแต่ก็รับมาอุปการะครับ

เพราะจริงๆสเกลมันยังต่างกันเยอะอยู่  รายได้ free TV มัน 60,000m แต่ sat TV ตอนนี้ยังแค่ 4,200m  เรียกว่าช้างกับหนูครับ

แต่จับตาดู 1-2 ปีต่อจากนี้นะครับ  ว่า 4,200m จะขึ้นไปถึงไหน  และใครจะได้ไป(ผมว่ามันจะ 10,000m เร็วๆนี้แหละ)


ย้ำ(อีกที)ว่าเลือกดีๆนะครับ  เพราะกำไร 20 เท่าไม่ได้ได้ทุกราย  แต่ได้เฉพาะผู้ชนะนะครับ


ถ้าจะให้ใบ้  ชอบ FFK กับคนอวดผี  และคุณกนกครับ ^^

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กลับมาเขียนใหม่ ด้วยหุ้น turnarounds : KTC

หายหน้าหายตาไปนานเพราะติด FM2013 เกมบ้าอะไรทำคนอยากรวยเสียเวลาชีวิตจริงๆ

จริงๆช่วงที่หายไปมีการปรับพอร์ทเยอะมาก  แต่ขี้เกียจเขียน(แต่ศึกษาแล้วนะ)
เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา  เริ่มที่ตัวแรกก่อนเลยดีกว่า


turnarounds stock : KTC

ktc ตัวนี้ใครอยุ่ในวงการหุ้นคงจะได้ยินชื่อเป็นอย่างดี  ใครที่ไม่ได้อยู่ก็คงจะรู้จักในนาม"บัตรเครดิตธนาคารกรุงไทย"


คนอยากรวยเล่าประวัติคร่าวๆว่าตัวนี้ถูกอยู่นานมาก  เพราะมันไซฟ่_นกันไส้ไหล  เทรดกันที่ 0.5 book มา 2-3 ปี   NPL ทะลุ 6-7% เลยมั๊งตอนนั้นคนอยากรวยเข้าตลาดไม่ทัน


มาตอนนี้ story ของหุ้น turnarounds คือ turn around นี่แหละ(จริงไหมล่ะ)
แต่จริงๆคือเปลี่ยน ผบห คนใหม่  ซึ่งขอแค่ไม่ทำกันแบบคนที่แล้วก็พอจะทำให้ขยับมาเทรดที่ book ได้แล้วล่ะครับ


จะโม้ก่อนว่าคนอยากรวยได้ยินหุ้นตัวนี้เป็นตัวแรกๆที่รุ้จัก  โดยอาจารย์คุยกับใครก็ไม่รู้(น่าจะเป็นมาร์)  แล้วพูดว่ามันถูกมากนะ  0.5 book เอง   ตอนนั้นราคา 10 บาท
ผ่านไปครึ่งปีอาจารย์โทรมาบอกว่า  เออ ตัวนี้เหมือนจะ turn นะ  ตอนนั้ 18 บาท  ไม่กล้าซื้อ  เพราะขึ้นมาตั้ง 80%  อาจารย์ก็ย้ำว่า  เออน่า  มันยังถูกอยู่มาก !!!

สรุปได้เข้ามาแถวๆ 25-26 บาท  ใครมาแถวนี้ทุนก็เท่าคนอยากรวยล่ะครับ



โม้ไปนิด  เข้าเรื่องดีกว่า

จำ template การเขียนตัวเองไม่ได้และ  มั่วใหม่เลยละกันนะ

วิเคราะห์ตัวเลข

1. รายได้  มาจาก 2 ส่วนคือ

- MDR ยาวๆว่า merchant discount rate แปลว่าเวลาเรารูดบัตร 1,000 จะมีตังส่วนนึงหักแล้วส่งมาให้ ktc ครับ  เพราะอย่างนี้พ่อค้าเลยชอบรับเงินสดมากกว่า  ไม่ต้องเสียค่าต๋ง  แต่บางทีก็ต้องยอมเพราะของใหญ่  ลูกค้าไม่มีตังจ่ายรวดเดียว  ได้น้อยลงนิดหน่อยดีกว่าไม่ได้  ตรงนี้ได้ราวๆ 1-1.5% ของสินค้า  แล้วแต่ชนิด  ส่วนมากได้ 1.1-1.2%  ถ้าขี้เกียจคิดก็คำนวน normal ratio เอาครับ  จริงๆถ้า track รายได้มาจะเห็นมันเท่าๆกันหมดเลย  เพราะบัตรเครดิตมันโตตามการใช้จ่ายของคนในประเทศครับ  ซึ่งที่ผ่านๆมาก็ไม่มีปีไหนที่ย่ำแย่(จริงๆ hamburger crisis การแด๊กของคนไทยไม่ได้เปลี่ยนมากนะครับ  คนนอกวงการเศรษฐกิจแทบไม่กระทบเลย)  ซึ่งดูแนวโน้มปีหน้าก็น่าจะไม่แย่กว่านี้(น่าจะดีขึ้นนิดนึงด้วยซ้ำ)

- interest ที่แปลว่าสนใจ  เอ๊ย  ดอกเบี้ยครับ  คือคนที่จ่ายไม่ตรงกำหนดก็จะโดนดอกนั่นเอง  ซึ่งปกติถ้าเป็น target group เดิม  รายได้ตรงนี้ก็จะไม่เปลี่ยนเช่นกันครับ  เพราะลูกค้าแบบเดิมๆ  มันก็ไม่จ่ายแบบเดิมๆนั่นแหละครับ  ซึ่งถ้าตามดีๆก็จะเห็นว่ารายได้ตรงนี้เท่าๆเดิมทุกปีเช่นกัน  เพราะ positioning ของ KTC ยังไม่ได้เปลี่ยนเท่าไหร่นัก


ตรงนี้น่าสนใจว่า  ถ้า target group เป็น premium MDR จะสูงครับ  แต่ดอกจะไม่เยอะ(เพราะกูรวย  แต่ขี้เกียจพกตัง  ใครจะทำไม)  แต่ถ้าเป็นรากหญ้าหน่อย  ก็จะกลับกันครับ  ใช้ทีละน้อยๆ  แต่จ่ายได้หรือเปล่าว่ากันอีกที  ทำให้ดอกเยอะ  MDR น้อย

จริงๆถ้าตามรายได้มา  จะเห็นว่าไม่เปลี่ยนมาก  จริงๆบริษัทมีนโยบายจะเพิ่มรายได้ด้วยการอัดแคมเปญหรืองบการตลาดลงไป  บอกว่าจะโต 8-10%   แต่คนอยากรวย conserv ว่าเท่าเดิมครับ 11,000m (รวมอื่นๆและอัตราแลกเปลี่ยนด้วยนะครับ)



2. รายจ่าย

ตรงนี้คือ key ที่จะ turn around เลยครับ  รายจ่าย
บางคนที่มาดูงบถึงไม่สนใจตัวนี้  เพราะโตจากการลดรายจ่ายมันลดได้ไม่มาก  จริงหรือเปล่ามาวิเคราะห์กันครับ

- รายจ่ายแรกคือ cost to income เป็นคำศัพท์ใหม่ครับ  แปลตรงๆก็ต้นทุนต่างๆแหละครับ  หลักๆก็ marketing cost, salary, outsouce  ซึ่งเดิม KTC อยู่ที่ 47-48% ของรายได้(ก็คือราวๆ 5,500m)  ปกติอุตสาหกรรมเค้าต่ำกว่า 40% ครับ  เอาง่ายๆว่าถ้าลดได้ 40% อย่างเค้าบ้าง  กำไรโผล่มาดื้อๆ 800m ครับ

แน่นอน ผบห ก็มาบอกว่าจะลดเลยครับ  เป้าก็ตามอุตสาหกรรมอ่ะครับ  40%  ตรงนี้คนอยากรวยมองว่าลดได้แน่ๆครับ  แต่จะลดได้แค่ไหนมากกว่า  เพราะบางอย่างที่มันฟุ่มเพือยลดได้  เหมือนคนอยากรวยให้ประหยัดนั่นแหละ  รายจ่ายเราลดลงแน่ๆ  แต่จะลดได้มากแค่ไหน  เพราะมีบางอย่างที่ลดไม่ได้  บางอย่างที่ลดยาก  เช่นเงินเดือน  ไปลดของลูกน้องดื้อๆมีตีกันตายครับ  marketing cost ก็ลดยาก  เพราะบัตรเครดิตไม่มีโปรดีๆหน่อยคนก็ไม่อยากใช้  แต่อะไรที่ฟุ่มเพือยก็ลดได้ครับ  พนง สวยๆ(ที่จ้างแพง)ก็ไล่ออกไป  สาขาที่ไม่ effective ก็ปิดไป  outsource ก็ดึงกลับมาทำเอง

แต่การจะได้ 40% บางทีอาจจะต้องเพิ่มรายได้แทนการลดรายจ่ายอย่างเดียวด้วยครับ  ซึ่งมันเป็นความเสี่ยง  เพราะ marketing cost อัดไปแล้ว  คนจะใช้จ่ายหรือเปล่าต้องไปลุ้นอีกที


- ประเด็นรายจ่ายต่อมาคือ NPL ครับ  ตรงนี้คือเอาหนี้สูญมาลบกับหนี้สูญได้รับคืน  จริงๆโดนอยุ่ที่ 7-8%  แต่ที่ผ่านมาทำได้ลงมาเหลือ 3-4%  ดู % มันกระจิ๊ดเดียวครับ  แต่ถ้าดูตัวเลข  ไอ้หนี้เสีย 7-8% เนี่ยมันราวๆ 3,XXX m ต้นๆครับ  ถ้าลดลงเหลือ 4% ได้(เท่าอุตสาหกรรมเลยนะ 4% เนี่ย)  ก็จะลงมาได้อีก 1,500m ครับ(ปัดๆลงแล้วนะ)  เอาแค่หนี้สูญตรงนี้  บวกกับ cost to income ที่ลดได้ 40% อีก 800m  แค่นี้ก็ 2,300m โดยที่บริษัทไม่ต้องกำไรสักบาทเดียวก็ได้ครับ  ราคาก็ไปตีต่อกันเองครับ

แต่ประเด็นคือ NPL มันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า  เพราะที่มันเก็บได้เยอะใน 2 ไตรมาสที่ผ่านมา  เพราะมันล้างบางไปเยอะมาก  เยอะจนแบบมึงควรจะเก็บกลับมาได้บ้าง
คำถามคือเก็บไปเยอะๆแล้ว  จะเหลือให้เก็บอีกไหม  ตอบตรงๆก็คงไม่เหลือน่ะครับ  แต่ว่าถ้าคุมหนี้ดีๆ  มันก็ไม่ควรเกินกว่าอุตสาหกรรมเท่าไหร่  ก็คือที่ 4%


- interest จ่าย  อยุ่ที่ราวๆ 2,000m ครับ



เอาคร่าวๆแค่นี้คงพอคำนวนกันได้

โดยส่วนตัวคนอยากรวยมองว่า cost to income 40% เป็นไปได้ยาก  เอาแค่ดีกว่าเดิมนิดหน่อยก็โอเคแล้ว  ผม discount 50% ขอแค่ 400m พอ
npl จาก 8% ลดลง 1% คือกำไรเพิ่มราวๆ 400m  ถ้าเหลือ 5%(ลดลง 3%) ก็ 3x400 = 1,200m ถ้า 6% ก็ 800m
ชอบเลขไหนใส่กันตามสะดวก


ผมมองแบบลดให้สุดๆ  กำไร 1,000m น่าจะพอไหว  แบบรายได้ไม่โตเลยนะครับ  ลดรายจ่ายอย่างเดียว ถามว่ากำไร 1,000m ให้ราคาเท่าไหร่ดี  ตอนนี้ marketcap เกือบ 7,000m PE 7
มองในแง่ดีกำไรอาจจะไปไกลกว่านี้ถ้าลดส่วนต่างๆได้โดยเฉพาะ NPL  และอาจจะดีมากขึ้นถ้ารายได้โต



ข้อควรระวังอย่างมากคือกลุ่มพวก bank มันตกแต่งตัวเลขง่าย
NPL แค่คุณจ่ายกลับงวดนึงก็ตีกลับหมดแล้ว  ดังนั้นวันร้ายคืนร้าย NPL มาตู้มเดียว 1,000m แบบที่เคยเป็นมาก่อนก็ทำได้  ถ้าเกิดน้ำท่วมคนจ่ายไม่ไหวอีก  economic crisis หรือ ผบห โกง


บางคนมองทั้งปีกำไรจิ๋มมดแค่ 60m  ต่อให้ q4 กำไร 150m ก็แค่ 210m, marketcap ตั้ง 7,000m บ้าไปแล้ว
ลองมอง story ก่อนครับ  q2 มี write-off outsource ส่วน q3 มี impairment 3XXm  ซึ่งเป็น one time loss คิดจาก q3 300x4 = 1,200m แล้วครับ


turnarounds ไม่ได้มองเป็นปีนะครับ  ต้องมองฟื้นตัว qoq ครับ  ผมว่าเริ่มชัดนะ  ราคามันไต่จาก 10->26 บาท  แต่ยังไปต่อได้อีก(ถ้ามันดีแบบที่ผมคิดไว้)  ไม่ซื้อตอนนี้รอไปซื้อปีหน้าอาจจะแพงครับ

ความเสี่ยงก็ตามที่ผมว่าไว้  รับได้ก็ลองมารับดูครับ



ตัวนี้คนอยากรวยมองกำไร 1,000m  PE ต่ำๆที่ 10  marketcap ก็ 10,000m ราคาไปลองคิดดูเองนะครับ
ถ้ากำไรออกมาเป็น 2,000m นี่ตัวใครตัวมันนะครับ  รวยกันอ๊วกแตก



ตัวนี้กะจะเก็บสัก 30% ครับ  ขอให้โชคดี ^^