วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เมื่อคนอยากรวยสนใจทีวีดาวเทียม megatrand ที่ชัดโคตรๆ


ทีวีดาวเทียมหรือ satellite TV หรือย่อไปให้สั้นๆอีกก็คือ Sat TV  ก็คือช่องทางเลือกนอกจาก free TV นี่แหละครับ  เช่น  ช่องการ์ตูน  ช่องป้าเช็ง  ช่องฟุตบอล  ช่องหนัง ฯลฯ


ซึ่งมันก็สถิตย์กับเมืองไทยมานานแล้วครับ  แล้วมันน่าสนใจตรงไหนล่ะ ???

คนอยากรวยขอเกริ่นประวัตินิดนึงนะครับ

ย้อนไปสมัยอโยธยาศรีรามเทพ(เวอร์ไป)  ณ  ขณะนั้นการโฆษณาผ่านฟรีทีวีเป็นที่นิยมมาก  เพราะทุกบ้านมีกันหมด  หรือมี 100%  ใครๆก็อยากลงโฆษณาเพราะลงทีนึง  คนเห็นทั่วประเทศ  ทำให้งบโฆษณาสูงมาก  และมีแนวโน้มเพิ่มมาเรื่อยๆ  ณ ตอนนี้ค่าโฆษณาของรายการเทพๆ  ช่วงเวลาเทพๆ  ไล่ไปถึงนาทีละ 400,000 บาทกันแล้ว(นาทีเดียวนะครับ)  และเม็ดเงินรวมทุกช่องตอนนี้สูงถึง 60,000m ซึ่งเยอะเหี้ยๆ(เพราะมันมี free tv กี่ช่องกันล่ะ  และแต่ละช่องก็กินกันไส้ปลิ้นเลยน่ะครับ)  อย่างช่อง 3 ช่องเดียวมีมูลค่าการตลาดถึง 100,000m  เยอะแบบเหี้ยๆเลยล่ะครับ


แต่ในอีกด้านหนึ่ง sat tv และ cable tv ก็ค่อยๆโตมาอย่างช้าๆ  ประมาณว่าอยู่กินกันไปวันๆ  จนคนเริ่มติดขึ้นเยอะเรื่อยๆๆๆๆ  จาก 10%->50%  ไอ้ตรง 50% นี่แหละครับ  เป็นจุดที่เรียกว่า critical mass
แปลว่าอะไรดีล่ะ  เหมือนว่ามีเพื่อนในกลุ่ม 10 คน  ใช้ iphone 1 คนก็เฉยๆ  มือถือบ้าอะไรแพงจัง  ไป นกป ได้ตั้ง 10 ครั้ง  พอเพื่อนเริ่มใช้ 2 คน 3 คน 4 คน  ก็เริ่มลังเลแล้วใช่ไหมครับ  พอมีสัก 5-6 คน  เราก็ทนการเร้าของสังคมไม่ไหว  ต้องไปซื้อกันมาบ้าง  ไอ้ตอนที่ 1->5 จะกินเวลานาน  เพราะไม่เป็นที่นิยม  ใครก็ไม่ใช้  แต่ไอ้ตอน 5->10 จะกินเวลาไม่นานครับ  เพราะมันนิยมแล้ว  นั่นแหละครับ  critical mass


และก็มีพระเอกชื่อ AGB Neilson หรือพี่เนล  ซึ่งเป็นคนสำรวจ rating ได้มาทำให้ critical mass สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น  ก็ได้ลงมาสำรวจ rating ให้ละเอียดขึ้น  ถ้าพูดวิชาการหน่อยคือเพิ่ม sample space เพื่อลด margin of error นั่นเอง

ซึ่งพี่เนลนี้เป็นคนน่าเชื่อถือมาก  ระดับโลกเลยล่ะครับ  ดังนั้นถ้ากลุ่มตัวอย่างใหญ่พอ  เค้าบอกว่าช่องนี้ฮิต  ใครๆก็เชื่อครับ  ทีนี้พอพี่เนลเริ่มทำให้กลุ่ม sat TV มีความหวัง  กลุ่ม sat TV ก็เลยลุกฮือขึ้นมาบอกว่า  "เห็นไหม !!!  คนดูก็เยอะ  แต่ทำไมค่าโฆษณาต่ำจัง  ขอขึ้นหน่อยดิ"  ไอ้ครั้นรายเก่าๆจะไม่ให้ขึ้นก็ไม่กลัวครับ  เพราะของมันดีจริง  เค้าไม่เอาคนอื่นก็เอามาลง


และค่าโฆษณามันต่ำแค่ไหนก็ต้องบอกเลยว่า  ช่วงเทพๆที่บอกว่านาทีละ 400,000 ของช่อง 3 หรือเรียกว่า super-prime นั้น  ของ sat tv ตอนนี้แค่ประมาณ 20,000  ต่างกัน 20 เท่าครับ  ราคาเฉลี่ยช่อง 3 ราวๆ 100,000 ของ sat TV ประมาณ 5,000(ของช่องเกรดบนๆนะครับ)  ราคาต่างกันแบบมหาศาล

แต่มันก็ต้องขึ้นกับคนดูด้วย  ไปลงโฆษณาถูกๆแต่ไม่มีคนดู  agency ก็ไม่อยากลงจริงไหมครับ ???
ณ Q4 พี่เนลบอกว่า  70% ครัวเรือนไทย  ติด sat TV แล้ว(แต่ของอะไรว่ากันอีกทีนะ)


ตรงนี้จะมีค่าๆนึง  เรียกว่า cost per rating ซึ่งเอาราคาที่จ่าย  หารด้วย eye ball ครับ  เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มค่า
สมมติแรงเงามีคนดู 100,000 คน  ราคา 400,000 บาท  หารกันก็ได้ 4 ครับ  แต่น้องเมีย(ชื่อละครนะครับ  ไม่ใช่น้องของเมียจริงๆ)  คนดู 30,000 คน  ราคา 20,000 บาท  หารออกมาจะได้ 0.67 ครับ  ก็ลองแปลความหมายดูนะครับว่าอันไหนคุ้มค่ากว่ากัน


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  มันก็ต้องค่อยๆขึ้นนะครับ  ไม่ใช่ขึ้นกันตูมเดียวจาก 10,000 เป็น 50,000  ไม่งั้น agency โฆษณาไม่เล่นด้วยนะครับ  เพราะงบมันมีจำกัด  แต่คำว่าค่อยๆของพี่แกก็ปีละ 30-100% แล้วแต่ช่องล่ะครับ



มีสถิติที่น่าสนใจคือ
1. จำนวนครัวเรือนที่ติดจานดาวเทียมน่าจะเป็น 100% ในเร็วนี้  จากคุณภาพ content และกระแสครับ(น่าจะ 3-5 ปี)
2. ผู้ชนะในธุรกิจ sat TV จะมีกำไรโต 5-20 เท่า(ตอน mature)


ถ้าเรา asuume ว่ากำไรขึ้น 10 เท่า = ราคาหุ้นขึ้น 10 เท่า  น่าสนใจรึยังครับ ???
 และถ้าเราเทียบ 20,000 กับ 400,000 เราก็เห็นว่ามี gap ให้เล่นได้อีกเยอะมาก  คนอยากรวยก็ไม่รู้ว่าแม้ทีวีดาวเทียมจะติด 100%  แต่ราคาค่าโฆษณาจะขึ้นไปได้ถึงไหน  คงไม่เท่ากันแน่ๆ  แต่เอาแค่นาทีละ 100,000(สัก 1/4)  ก็รวยกันไส้ไหลแล้วล่ะครับ


ทำไมราคาขึ้นแค่ 5 เท่าต้องรวยกันไส้ไหล  เพราะว่าต้นทุนการผลิตมันไม่ขึ้นด้วยน่ะสิครับ  จริงๆต้องบอกว่าขึ้นไม่มากเท่าดีกว่า


ในตอนแรก(คือตอนนี้)อาจจะต้องปรับปรุงรายการเยอะๆหน่อย  เพราะ sat TV rerun เยอะมาก
อันนี้เข้าใจไม่ยาก  เพราะเงินน้อย  จะไปเสียตังทำให้มันดีทำไม  ก็รีรันไปสิ(วะ)

แต่พอมาถึงวันนึงที่เงินมันเยอะ  ถ้าเรามัวแต่รีรัน  ช่องอื่นที่ไม่รีรันเค้าต้องทำได้ดีกว่า  และเอาเงินก้อนใหญ่ๆนั้นไปแน่นอน  ดังนั้นตอนนี้ก็เพิ่มงบลงทุนกันวุ่นวายมากทุกบริษัท


ในอนาคตอันใกล้คนอยากรวยเชื่อว่าช่อง sat TV หลายๆช่องจะไม่รีรัน  และมีคุณภาพไม่ต่างกับฟรีทีวี  เพราะในเมื่อคุณทำกำไรให้ช่องตัวเองได้  คุณก็ทำสิ  จะมามัวทำให้ช่อง 3 รวยทำไม(จริงไหมครับ)

ตอนนี้ยักษ์ใหญ่อย่าง work(point)ก็หันมาทำแล้วครับ  rs, grammy ก็ทำ  แล้วคาดหวังได้เลยว่าเค้าคงไม่มาทำแค่ไม่กี่รายการ  แต่เค้าต้องทำช่องตัวเองให้มันยิ่งใหญ่ครับ



โม้มากไป  ลืมบอกเลยว่า  ผู้เล่นใน sat TV มี 2 อย่างคือ content provider กับ platform provider
แปลเป็นไทยว่าทำรายการ  กับทำกล่องขาย

ณ ตอนนี้ sat TV เพิ่งตั้งไข่  content ดีๆเค้าไม่ขายนะครับ  แจกฟรีกันเลย  แจกไปหลายๆกล่องนั่นแหละ  ให้คนดูดูเยอะที่สุด  เพื่อจะได้ rating สูงที่สุด(แต่อนาคตไม่แน่นะครับ)

ส่วน platform provider หรือพวกขายกล่อง  ก็ไม่เก็บตังนะครับ  เอา content มาลงฟรีๆได้เลย  เพราะอยากขายกล่อง  ยิ่งกล่องตัวเองมีรายการดีๆเท่าไหร่  คนก็อยากมาซื้อกล่องนั้นมากเท่านั้นครับ


ผู้ชนะในระยะสั้น(3-5ปี)  คือคนทำรายการ(หรือ content provider)ครับ  เหตุผลตรงไปตรงมา  รายการไหนดีค่าโฆษณาอ๊วกแตกครับ

แต่ผุ้ชนะในระยะยาวคือ platform provider ครับ(5-10ปี)  เพราะกล่องไหนที่รวมผู้ชนะในข้อแรกไว้  ก็คือผู้ชนะระยะยาวครับ

แต่สำหรับคนอยากรวย  คนอยากรวยว่า  เราเอาแค่ content provider ก่อนก็พอครับ  รออีก 5 ปี  จะรอกันไหวหรอครับ  บางคนรอไตรมาสเดียวนี่แทบตายแล้วนะครับ



สำหรับ content provider เราก็ต้องมองหาผู้ชนะครับ  เพราะตอนนี้เค้ารุ้กันหมดแล้วว่า sat TV เป็นแหล่งเงินแหล่งใหม่  ใครๆก็อยากเข้ามาครับ  แต่กฏ 20:80 ยังใช้ได้ดีเสมอ  คือพวกรวยไส้ไหล  คือพวก 20% บนๆ  ที่จะได้เงิน 80% ไปใช้ครับ


ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ใครจะเป็นผู้ชนะล่ะครับ  เพราะมันไม่ใช่เหมือนค้าปลีก  รายการนี้คุณทำดี  รายการหน้าคนดูเค้าไม่ได้มาดูเพราะคุณผลิตเหมือนเลือกซื้อเพชรนะครับ  ดังนั้นแบรนด์แทบไม่มีผลเลย
เพราะหลายๆคนดุรายการนั้นเพราะชอบดู  เพราะมันดัง  เพราะเพื่อนดู  มีน้อยคนมากที่ดูเพราะว่าเป็นของ workpoint จริงไหมครับ

แปลว่าอะไร  แปลว่าคุณต้องเชื่อมั่นในผู้ผลิตรายการว่าเค้าจะสร้าง content ที่ดี  แย่ง rating มาได้
มันไม่ใช่แค่การ copy model ความสำเร็จอย่าง CPALL หรือ HMPRO ที่ปั๊มไปเรื่อยๆเพราะนำแล้วนะครับ  วันดีคืนดีถ้าช่อง 7 ทำอะไรสักอย่างได้  ก็พลิกขั้วกันได้ง่ายๆ  เพราะคนดูทีวี  ดูเพราะชอบดู  ไม่ได้ดูเพราะเป็นช่อง 3 หรือช่อง 7 เหมือนกับการเข้า CPN มากกว่าห้างท้องถิ่นนะครับ



จริงๆผมไม่อยากเจาะจงชัดเจนว่าตัวไหน  แต่ sat TV กำลังจะมาอย่างแน่นอน  ผมแนะนำให้มีประดับพอร์ทเลยครับ  เลือกถูกตัว  รวยอ๊วกกันแหงๆ  ผมว่าถูกตัวมีเป็นเด้ง  เพราะเทรนมันยังอีกยาว  ต้องรีบเก็บกันแล้วล่ะครับ  เพราะพวกเซียนๆเค้ายัดเข้าพอร์ทนั่งยิ้มตั้งแต่ต้นปีแล้ว  มาตอนนี้ยังไม่สายเกินไป  เพราะรถไฟเพิ่งจะเริ่ม  ใครกลัวราคาสูงผมว่ามีตกรถขบวนใหญ่ครับ




เลือกตัวดีๆนะครับ  เลือกผู้ชนะ  เลือก dominant player ที่สำคัญดูด้วยว่าเค้าทำ sat TV อยู่เท่าไหร่  ธุรกิจอื่นเท่าไหร่  และแนวโน้มจะเป็นอย่างไร
บางรายทำ free TV ด้วย sat TV ด้วย  บางรายทำ sat TV น้อย  ทำเพลงเยอะ  บางรายทำแต่ sat TV ก็มี

อ่อ  เตือนภัยอีกอย่างคือ free TV กับ sat TV เป็นศัตรูกันชัดเจน  ถ้า free TV หมั่นไส้  บางรายการหลุดผังได้ง่ายๆเลยนะครับ  ถามข่าวข้นกับชิงร้อยชิงล้านได้
ผมว่าวันนึงที่ sat TV แข็งข้อมากๆ  คงต้องอัปเปหิกันยกใหญ่


แต่อย่างว่าครับ  ทางธุรกิจไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร  ทำเงินได้ก็เป็นเพื่อนกันหมด
อย่างช่อง 7 ไล่ชิงร้อยชิงล้านออกมา(น่าจะเพราะ work ไปเอาเบอร์ช่อง 7 ใน PSI มาทำให้ช่อง 7 บางคนไม่พอใจ)
ช่อง 3 เห็นว่าทำเงินได้  แม้จะเป็นคู่แข่งแต่ก็รับมาอุปการะครับ

เพราะจริงๆสเกลมันยังต่างกันเยอะอยู่  รายได้ free TV มัน 60,000m แต่ sat TV ตอนนี้ยังแค่ 4,200m  เรียกว่าช้างกับหนูครับ

แต่จับตาดู 1-2 ปีต่อจากนี้นะครับ  ว่า 4,200m จะขึ้นไปถึงไหน  และใครจะได้ไป(ผมว่ามันจะ 10,000m เร็วๆนี้แหละ)


ย้ำ(อีกที)ว่าเลือกดีๆนะครับ  เพราะกำไร 20 เท่าไม่ได้ได้ทุกราย  แต่ได้เฉพาะผู้ชนะนะครับ


ถ้าจะให้ใบ้  ชอบ FFK กับคนอวดผี  และคุณกนกครับ ^^

2 ความคิดเห็น:

  1. วิเคราะห์ให้เห็นภาพชัดเจน แจ่มเจิด

    ตอบลบ
  2. เพิ่งเข้ามาเห็น ตอนนี้ยังทันไหมครับ

    ตอบลบ