วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กับดักราคา ที่มาของพญาเม่า

รู้สึก 2 บทความในเดือนพฤษภาคมก่อหน้านี้  คนอยากรวยจะเขียนไม่ดีเท่าไหร่(แต่อันอื่นก็ไม่ได้เขียนดีนะ)


วันนี้เลยจะมาเขียนแก้ตัวและเตือนในตัวเองครับ


เกริ่นก่อนเลยเคยอ่านหนังสือการลงทุนพอสมควร  เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง  อ่านจบบ้างไม่จบบ้าง

ถ้าเป็นแนว VI จะมีเขียนเล่าประมาณว่า  "ซื้อหุ้น XXX ที่ราคา 10 บาท  จากนั้นมันตกไปที่ราคา 8 บาท  ก็ยังซื้อต่อจนตกไปที่ราคา 5 บาท  ก็ซื้อไปเรื่อยๆเพราะมันยัง undervalue อยู่มาก  จากนั้นอีก xปี  มันก็วิ่งที่ไปราคา 30 และ 40 บาท  ผมก็ขายออกมาและได้กำไรอย่างมหาศาล"


หรือที่ปู่บัฟบอกว่า "ถ้าทนเห็นหุ้นตัวเองตกลงไป 50% ไม่ได้  อย่ามาเล่นหุ้น"


ไอ้ตอนอ่านก็คิดว่าทำได้อยู่หรอกครับ  แต่พอมาเจอกับตัวนี่มันอึ้งแดกครับ !!!

ต้องมาย้ำตัวแดงๆกับตัวเองเลยว่า  เฉพาะกับหุ้นที่เรามั่นใจในพื้นฐานเท่านั้นนะครับ !!!


คนอยากรวยโดนมาแล้วครับ  สดๆร้อนๆ  กับหุ้นแนวอสังหาที่ยอมรับว่าไม่ได้ศึกษาละเอียดมากครับ  ซื้อตอนแรกต้องมานั่งเฝ้าจอทุกวัน  แต่ราคาขึ้นไปร่วมๆ 10% ก็สบายใจสิครับ  ถือรอรับ W ดีกว่า  ตกลงมาเท่าทุน(รวมค่าคอม)ค่อยขายออก  ยังปลอดภัย  มันก็ลงมาแถวๆ +5% ก็โอเค 
นอนรอวันจันทร์ขึ้น XW ตื่นมาราคาร่วงไป -3% เลยครับ(รีบมาดูตั้งแต่ 10 โมงเลยนะ)
จากนั้นมันก็ร่วงไป -13% ในวันนั้น !!!(เทีบบกับราคาทุนโดนลบไป 11%) 
อึ้งครับ  อึ้งแดก  ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาขนาดนี้  คิดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยครับ 
เคยเห็นแต่ชาวบ้านโดนตบติด floor ก็แอบถากถางในใจว่า  "ฟายเอ๊ย  โง่นะเมิง"
พอมาเจอหุ้นตัวเองติด top loser แล้วมึนเลยครับ  เพราะไม่รู้พื้นฐานเท่าที่ควร  ซื้อถัวเฉลี่ยขาลงแบบที่ VI บอกก็ไม่กล้า  เพราะไม่รู้เลยครับว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร  ถึงตอนที่คนอยากรวยมานั่งพิมพ์บทความก็ยังงงๆกับตัวเองอยู่  อารมณ์ติด stun มาถึงตอนเย็น  เลือดไหลซึมๆถึงพื้นแล้วจะ cut loss ก็ไม่กล้า  เข้าใจแล้วว่าอารมณ์คนติดดอยหรือไม่กล้า cut เป็นอย่างไร  บอกได้เลยนะครับ "ไม่เจอกับตัว  ไม่รู้หรอกครับ"


คือถ้าเป็น BLA ลงมาแบบนี้ก็เก็บไปเรื่อยๆครับ  เพราะรู้ว่ากำไรมันไม่หยุดแค่นี้  เดี๋ยวมันก็ฟื้นแน่ๆ  แต่กับไอ้บ้าตัวนี้นี่ไม่ค่อยแน่ใจเลยว่ามันจะไปยังงัยต่อ  เพราะใครถามว่าทำไมถึงซื้อก็จะตอบแนวๆว่า bet กับมันดูน่ะครับ(แต่ก็อาศัยดู back log กับพื้นฐานแล้วด้วยอ่านะ) 


บอกกับตัวเองเลยครับว่า กรุจะไม่เก็งกำไรอีกแล้ว  ถ้าไม่สามารถให้เหตุผลที่ดีพอโดยการเขียนบทความลงใน blog นี้ได้ว่าทำไมถึงอยากซื้อล่ะก็  ห้ามซื้อ !!!


ขอยืมคำคมนึงมาหน่อยนะครับว่า

คนตายไม่มีสิทธิ์พูดครับ

เวลาที่หุ้นขึ้น  คุณพูดอะไรก็ถูก  จะบอกว่าเห็นไหมมันลงแป็บเดียวแล้วก็ขึ้น  เห็นไหมแพงแล้วมีแพงอีก
แต่เวลาที่หุ้นตก  คุณพูดอะไรก็ผิดครับ  จะบอกว่า  ราคามันถูกลงนะไปเก็บเพิ่มสิเดี๋ยวมันก็ขึ้นมา  ถ้ามันลงไปนิ่งอยู่อีก 2 เดือน  จะยังเหลือคนเชื่อคุณไหมครับ


คนที่เก็บ CPALL ตั้งแต่ 10 บาท  จะอ้างเทคนิค  จะอ้างพื้นฐาน  หรือพูดมั่วๆคนยังเชื่อเลยครับ
แต่คนที่เก็บ N-PARK มาตั้งแต่ 3 หลัก  ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร  ก็ไม่มีใครเชื่อหรอกครับ

นี่แหละ

คนรวยเสียงดัง  คนตายไม่มีสิทธิ์พูดครับ !!!



เกริ่นเรื่องเม่าๆของตัวเองกะแถมคำคมไปแล้ว  มาดูเรื่องกับดักราคาที่เป็นหัวข้อหลักกันดีกว่าครับ


เรื่องแรกคือ "hindsight bias" หรือที่คนเค้าชอบพูดกันว่า  "มองกระจกหลัง"ครับ
การมองกระจกหลังเนี่ยง่ายๆเลยครับ  คือพวกที่ชอบบอกว่า "รู้งี้....."(คนอยากรวยก็เคยพูดหลายครั้งนะ)  เช่นดูราคา CPF ย้อนหลังไป 3 ปี  แล้วบอกว่า 
"รู้งี้ซื้อที่ 2.XX บาทก็ดี  ป่านนี้ 10 เด้งไปแล้ว" 
"รู้งี้ขาย BLA ไปก่อนก็ดี  กะแล้วว่าราคาจะต้องตก" 
"รู้งี้ไม่ขาย CPALL ที่ 40 บาทหรอก  ว่าแล้วว่าต้องไปต่อ"

แม่ะ  ถ้ารู้ขนาดนี้แล้วทำไมไม่ทำล่ะครับ  มามัว "รู้งี้" ตลอดเลย  เหมือนที่เค้าบอกกันว่า  "รู้อะไรไม่สู้  รู้งี้"ครับ

hindsight bias จะทำให้เรามองแต่กระจกหลัง  จะไม่กล้าซื้อหุ้นที่ราคาขึ้นไป 2 เด้ง 3 เด้งหรือ 10 เด้งแล้ว  เพราะคิดว่ามันไม่น่าจะไปต่อ  และจะร่วงกลับลงมา  แต่จะชอบหุ้นที่ราคาตกลงมาหรือราคานิ่งๆนานๆ  เพราะคิดว่ามันมีโอกาสจะขึ้นมากกว่า

ขอบอกเลยนะครับว่า  "ไม่เกียวครับ"  ท่องให่อีก 20 รอบเลยนะครับว่า  "ไม่เกี่ยวครับ" 
ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือ N-PARK จากราคา 100บาท  ไหลลง 20 บาท  ลงมา 1บาท  ลงมา 0.1บาท  มาจนบัดนี้ 0.01 บาท  และก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปจุดเดิมหรือแม้แต่เสียวนึงของความยิ่งใหญ่มันได้เลยครับ
อีกตัวอย่างนึงคือ SCBLIF จากราคา 5 บาท  เคยวิ่งไปถึง 50 บาท  100 บาท  และตอนนี้ไปอยู่ที่เกือบ 600 บาท  และมีทีท่าว่าจะยังวิ่งได้ต่อ

คนอยากรวยไม่ได้บอกว่า  ตัวที่ลงจะไม่มีโอกาสขึ้นนะครับ  แต่บอกว่า  สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต  ไม่ได้เกี่ยวกับปัจจุบันเลยครับ

หุ้นกี่เด้งก็ไปต่อได้ถ้ากำไรมากขึ้น  หุ้นนิ่งๆมาหลายปีไม่ได้ไปต่อถ้ากำไรลดลง(และเจ้าไม่ลากเล่น)


ปู่บัฟฝากมาบอกนะครับว่า "เหตุผลที่โง่ที่สุดในการซื้อหุ้นคือซื้อเพราะกลัวว่ามันจะขึ้น  และขายเพราะกลัวว่ามันจะลง"
ซึ่งเหตุผลนี้เกิดขึ้นแทบจะทุกนาทีเลยครับ  คิดดูสิ !!!



กับดักราคาอันที่ 2 อันนี้ยิ่งใหญ่มาก  ชื่อเก๋ๆว่า Anchoring
เป็นกับดักราคาที่เรามักจะเอาตัวเลขมายึดติดกับอะไรสักอย่าง

เคยมีคนทำวิจัย  โดยการถามว่า  คิดว่ามีคนแอฟริกันอยู่ในอเมริกากี่ % โดยแอบตุกติดพ่วงตัวเลขไป 2 ตัว  คือ 10% และ 60%
คนที่ได้ตัวเลข 10% คำตอบจะไปกองอยู่แถว 25%
ส่วนคนที่ได้ตัวเลข 60% คำตอบจะไปกองอยู่แถว 40%

เห็นไหมครับว่าคนเราจะยึดติดกับตัวเลขโดยที่ไม่รู้ตัว 


อธิบายจากการเล่นหุ้นง่ายๆเลยครับ  ถ้าหุ้นตัวนึงไหลลงมาจากราคา 10 บาทมาเหลือ 9 บาท 8บาทและ 7 บาท  เราก็ชอบจะ fix ตัวเลข 10 บาทหรืออะไรก็แล้วแต่ที่สูงกว่า 7 บาท  โดยคิดว่ามันเป็น fair value
และถ้าหุ้นอีกตัววิ่งขึ้นจาก 10 บาทเป็น 12 บาท  เป็น 15 บาท  เราก็จะยึดตัวเลข 10 หรือ 12 บาทเป็น fair value แทนครับ
ถ้าพ่วงกับ hindsight bias อีก  เราจะซื้อแต่หุ้นตัวแรก  และไม่ซื้อหุ้นตัวที่ 2 ครับ


สมมติกับชีวิตจริงว่า  ถ้าผมขาย iphone 4s ราคา 1แสน  ซื้อไหมครับ  ไม่ซื้อลดมาเหลือ 80,000 เหลือ 60,000 เหลือ 45,000 จะยังมีคนอยากซื้อไหมครับ 
ผมว่าไม่มีแน่นอนเพราะมัน"แพง"กว่าราคาที่ควรจะเป็นของมัน
แต่ถ้าผมขายรถ Ferrari ราคา 5แสน ไม่เอาเป็น 1ล้าน เป็น 2 ล้าน  เป็น 5 ล้าน  เอาไหมครับ
ก็ยังเอาอยู่ดีแม้ราคาผมจะเพิ่มไป 10 เท่า  เพราะมันยัง"ถูก"กว่าที่มันควรจะเป็น


คนมากมายแม้แต่คนอยากรวยก็ยังติดกับดัก anchoring เพราะเราต้องหาตัวเลขอะไรมายึดเหนี่ยวจิตใจเอาไว้ครับ


ทางที่ดีที่สุดของการหนีกับดัก anchoring คือการที่เราประเมิน Fair Value ด้วยวิธีต่างๆไม่ว่าจะเป็น Forward PE, DCF หรืออะไรก็ตามครับ

ตัวเลขหรือกราฟย้อนหลังดูได้  คนอยากรวยเชื่อว่า VI คนอื่นๆก็ดูประกอบครับ  แต่ให้น้ำหนักปานกลาง  เราซื้อบริษัทไม่ได้ซื้ออดีต  แต่ซื้ออนาคตครับ



หวยออก 87 งวดนี้  ไม่ได้แปลว่างวดหน้าจะไม่ออก 87  แต่ที่มันออกไม่ซ้ำกันเพราะโอกาสมันน้อยต่างหาก
คนอยากรวยกล้าขอทำนายแบบไม่กลัวเงิบว่า  หวยงวดนี้ออกอะไร  งวดหน้ากลับเลขกัน  ตัวนั้นจะไม่ออก  อิอิ

ปีที่แล้วน้ำท่วม  ปีนี้น้ำจะท่วมหรือเปล่าก็ไม่ได้ขึ้นต่อกันนะครับ  อาจจะท่วมหรือไม่ท่วมก็ได้


แล้ว iphone ราคา 100,000 ลดเหลือ 50,000 ก็ไม่มีคนซื้อ
แต่ Ferrari ขึ้นราคาจาก 5 แสน เป็น 5 ล้านคนก็ซื้อ 

อย่าลืม hindsight bias กับ anchoring นะครับ


ตลาดหุ้นมันขึ้นมาจาก 400 เป็น 1,200 ใน 3 ปี  ดู "easy money" คือจิ้มไปตัวไหนกำไรแทบจะทะลัก  ทำให้หน้าใหม่ๆเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น(คนอยากรวยก็เช่นกัน)
ที่น่ากลัวคือเหตุผลที่ผิดๆในการเลือกหุ้นแล้วคิดว่าถูก  ไม่ว่าจะเป็นแนว VI,VS หรืออะไรก็ตาม  บางทีดูแค่ EPS บางทีดูแค่ EMA หรือ fund flow อะไรก็ตาม  แต่ถ้าวิธีการมันผิด  ตอนหุ้นขึ้นมันอาจจะใช้ได้  แต่ใช้ได้ไม่ตลอดเพราะวิธีการมันผิด !!!

ฝากไว้นะครับ

"ยามเมื่อลมพัดแรงแม้แต่ไก่งวงก็บินได้  แต่เมื่อลมพัดหวนมีแต่พญาอินทรีย์เท่านั้นที่อยู่รอด"
และ
"เวลากระแสน้ำลดลง  คุณก็จะรู้ว่าใครล่อนจ้อน"


ขอให้โชคดีกับการลงทุน  และคนอยากรวยก็ขอให้ผ่านพ้นความเลวร้ายจากหุ้นตัวนี้สักที(ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดีนะครับ  แต่ไม่รู้ว่ามันดีรึป่าวเนี่ยสิ)  ขอ buy and pray ครั้งสุดท้าแล้วจะเลิกเก็งกำไรเด็ดขาดแล้วครับ TT^TT  ขนาดไม่เจ็บตัวมากยังซึ้งเลย

1 ความคิดเห็น:

  1. Just received a cheque for $500.

    Sometimes people don't believe me when I tell them about how much money you can make by taking paid surveys online...

    So I show them a video of myself getting paid $500 for taking paid surveys.

    ตอบลบ